How to Choose the Right 3D Printer for Your Needs
เครื่อง 3D Printer ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีให้เลือกใช้หลายเทคโนโลยี เป็นเทคโนโลยี 3D Printing สามารถพิมพ์ชิ้นงานได้โดยไม่ต้องใช้แม่พิมพ์ ทำให้สามารถผลิตชิ้นงานที่มีรูปร่างซับซ้อนได้ ในปัจจุบันมีเครื่อง 3D Printer ให้เลือกหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ของ Stratasys UltiMaker ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ เพื่อให้ได้เครื่องที่ตรงกับความต้องการและการใช้งานมากที่สุด ถ้าคุณต้องการลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติ สักเครื่อง คุณต้องพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งในบทความนี้ได้ หยิบประเด็นสำคัญๆ มาดังนี้
- ประเภทของเทคโนโลยี 3D Printing : เทคโนโลยี 3D Printing มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป จึงควรพิจารณาประเภทของเทคโนโลยี 3D Printing ให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ
- งบประมาณในการซื้อเครื่อง 3D Printer ซึ่งมีราคาตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนบาท จึงควรพิจารณางบประมาณที่มีให้เหมาะสมกับการใช้งาน
- ประเภทการใช้งาน : เครื่อง 3D Printer สามารถใช้ในงานต่างๆ มากมาย เช่น งานออกแบบ งานประดิษฐ์ งานซ่อมแซม งานอุตสาหกรรม เป็นต้น จึงควรพิจารณาประเภทการใช้งานที่ต้องการให้เหมาะกับเครื่อง 3D Printer
- ทักษะของผู้ใช้งาน : เครื่อง 3D Printer บางรุ่นใช้งานง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น ในขณะที่บางรุ่นต้องใช้ทักษะขั้นสูงในการใช้งาน จึงควรพิจารณาทักษะของผู้ใช้งานให้เหมาะสมกับเครื่อง 3D Printer
- ขนาดชิ้นงาน : เครื่อง 3D Printer แต่ละรุ่นมีขนาดพื้นที่พิมพ์ที่แตกต่างกัน จึงควรพิจารณาขนาดชิ้นงานที่ต้องการพิมพ์ให้เหมาะสมกับเครื่อง 3D Printer
- วัสดุที่ใช้พิมพ์ : เครื่อง 3D Printer แต่ละรุ่นใช้วัสดุพิมพ์ที่แตกต่างกัน จึงควรพิจารณาวัสดุที่ใช้พิมพ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานที่ต้องการ
จากไอเดียสู่รูปร่าง ปลดปล่อยศักยภาพ เหนือขีดจำกัดแห่งการผลิต ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
3D Printing จึงเป็นเทคโนโลยีการขึ้นรูปชิ้นงานแบบสามมิติจากข้อมูลดิจิทัล ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องด้วยความสามารถในการสร้างชิ้นงานที่มีรูปร่างซับซ้อน วัสดุให้เลือกหลากหลาย และราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้สนใจเลือกซื้อเครื่อง 3D Printer มาใช้เองมากขึ้น สำหรับบทความนี้จะมาบอกวิธีการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ว่าจะเลือกแบบไหนดี เพื่อให้ทำงานได้ตรงตามความต้องการและเกิดประโยชน์สูงสุด
1.ประเภทของเทคโนโลยี 3D Printing
เทคโนโลยี 3D Printing มีหลากหลายประเภท เช่น FDM, SLA, SLS, DLP เป็นต้น แต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้
- FDM (Fused Deposition Modeling) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เส้นพลาสติกหลอมเหลวมาวางทับซ้อนกันเพื่อสร้างชิ้นงาน มีข้อดีคือราคาไม่แพง ใช้งานง่าย เหมาะกับงานพิมพ์ชิ้นงานทั่วไป
- SLA (Stereolithography) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงเลเซอร์ฉายลงบนเรซินเหลวเพื่อสร้างชิ้นงาน มีข้อดีคือความละเอียดในการพิมพ์สูง เหมาะกับงานพิมพ์ชิ้นงานที่มีความละเอียดสูง เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ
- SLS (Selective Laser Sintering) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์หลอมผงพลาสติกเพื่อสร้างชิ้นงาน มีข้อดีคือชิ้นงานมีแข็งแรง ทนทาน เหมาะกับงานพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องการความแข็งแรง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร
- DLP (Digital Light Processing) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงฉายลงบนเรซินเหลวเพื่อสร้างชิ้นงาน มีข้อดีคือความเร็วในการพิมพ์สูง เหมาะกับงานพิมพ์ชิ้นงานจำนวนมาก
ดังนั้น การเลือกประเภทของเทคโนโลยี 3D Printing ควรพิจารณาจากการใช้งานเป็นหลัก หากต้องการพิมพ์ชิ้นงานทั่วไป สามารถใช้เทคโนโลยี FDM ได้ หากต้องการพิมพ์ชิ้นงานที่มีความละเอียดสูง สามารถใช้เทคโนโลยี SLA หรือ SLS ได้ หากต้องการพิมพ์ชิ้นงานจำนวนมาก สามารถใช้เทคโนโลยี DLP ได้
2. งบประมาณ
ราคาของเครื่อง 3D Printer แตกต่างกันไปตามประเภทของเทคโนโลยี ขนาดของเครื่อง และคุณสมบัติต่างๆ การเลือกเครื่องในงบประมาณที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา โดยเครื่อง 3D Printer ประเภท FDM นั้นมีราคาหลักหมื่นขึ้นไป ในขณะที่เครื่อง 3D Printer ประเภท SLA และ SLS นั้นมีราคาหลักแสนขึ้นไป
3. Application ที่ต้องการ
วัตถุประสงค์ในการใช้งานเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่แตกต่างกัน ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกัน ผู้ใช้งานควรพิจารณาประเภทของงานที่ต้องการพิมพ์ด้วยเครื่องเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อเลือกเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ที่เหมาะสม เช่น หากต้องการพิมพ์ชิ้นงานต้นแบบสำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์ ควรเลือกใช้เทคโนโลยี FDM หรือ SLA หากต้องการพิมพ์ชิ้นงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง ควรเลือกใช้เทคโนโลยี SLS เป็นต้น
ตัวอย่างการใช้งานเครื่องพิมพ์ 3 มิติในภาคอุตสาหกรรม ได้แก่
- การผลิตชิ้นส่วนต้นแบบ เครื่องพิมพ์ 3 มิติใช้ในการผลิตชิ้นส่วนต้นแบบสำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยชิ้นงานต้นแบบสามารถใช้เพื่อทดสอบแนวคิด ตรวจสอบความเข้ากันได้กับชิ้นส่วนอื่นๆ และประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตเชิงพาณิชย์
- การผลิตชิ้นส่วนงานฝีมือ เครื่องพิมพ์ 3 มิติใช้ในการผลิตชิ้นส่วนงานฝีมือ เช่น เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน ของเล่น เป็นต้น
- การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องพิมพ์ 3 มิติใช้ในการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์เพื่อทดสอบการใช้งานหรือเพื่อนำเสนอต่อลูกค้า
- การผลิตชิ้นส่วนใช้งานจริง เครื่องพิมพ์ 3 มิติใช้ในการผลิตชิ้นส่วนใช้งานจริง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร ชิ้นส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
4. ทักษะของผู้ใช้งาน
เครื่องบางประเภทมีความซับซ้อนในการใช้งาน ผู้ที่มีประสบการณ์อาจสามารถเลือกเครื่องประเภทนี้ได้ แต่สำหรับผู้เริ่มต้น อาจเลือกเครื่องที่ใช้งานง่ายกว่า
5. ขนาดของชิ้นงาน
ขนาดของชิ้นงานที่ต้องการพิมพ์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกเครื่อง 3D Printer เครื่องบางประเภทมีขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานขนาดใหญ่ ในขณะที่เครื่องบางประเภทมีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานขนาดเล็ก
6. วัสดุที่ใช้พิมพ์ (Material Selection)
วัสดุที่ใช้พิมพ์มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ จำเป็นต้องพิมพ์ชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ แข็งแรง และทนทานต่อแรงกระแทก จึงควรเลือกใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบ SLS ที่มีวัสดุพิมพ์เป็นไนลอนหรือโพลีคาร์บอเนต หรือ เลือกใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบ FDM,FFF โดยใช้วัสดุที่เป็น Nylon CarbonFiber ก็ได้ ซึ่งคุณต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย
7. ฟีเจอร์ต่างๆ
เครื่อง 3D Printer บางรุ่นมีฟังก์ชันพิเศษที่ช่วยให้การพิมพ์ง่ายขึ้น อย่างเช่น ระบบทำความร้อน ที่ช่วยให้ชิ้นงานพิมพ์แข็งตัวได้เร็วขึ้น เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ที่ช่วยตรวจสอบอุณหภูมิของหัวพิมพ์ไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป และเซ็นเซอร์ตรวจสอบความสูงของหัวพิมพ์ ที่ช่วยไม่ให้หัวพิมพ์ชนกับชิ้นงานพิมพ์ ดังนั้นผู้ใช้งานควรเลือกฟังก์ชันที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง เช่น ต้องการพิมพ์ชิ้นงานขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ต้องการพิมพ์ชิ้นงานที่มีความแม่นยำสูงหรือต่ำ เป็นต้น นอกจากฟังก์ชันต่างๆ แล้ว ผู้ใช้งานควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ความเร็วในการพิมพ์ ความละเอียดในการพิมพ์ และการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
ความแตกต่างระหว่างเครื่องขนาดเล็ก (Entry Level) กับ เครื่องขนาดใหญ่สำหรับงานอุตสาหกรรม
เครื่องพิมพ์ 3 มิติขนาดเล็กราคาถูกมักมีข้อจำกัดในด้านต่างๆ เช่น พื้นที่พิมพ์ขนาดเล็ก ความละเอียดต่ำ ความแข็งแรงของชิ้นงานต่ำ ความเร็วในการพิมพ์ช้า การดูแลรักษายาก การรับประกันและการบริการหลังการขายที่ค่อนข้างจำกัด เป็นต้น ในขณะที่เครื่องพิมพ์ 3 มิติขนาดใหญ่ราคาแพงมักมีข้อดีในด้านต่างๆ เช่น พื้นที่พิมพ์ขนาดใหญ่ ความละเอียดสูง ความแข็งแรงของชิ้นงานสูง ความเร็วในการพิมพ์เร็ว การดูแลรักษาง่าย และบริการหลังการขายจากผู้จัดจำหน่าย เป็นต้น
8. การดูแลรักษาเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
เครื่องพิมพ์ 3 มิติจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานควรพิจารณาความยากง่ายในการดูแลรักษาเครื่องพิมพ์ก่อนตัดสินใจซื้อพิจารณาความยากง่ายในการดูแลรักษาเครื่องพิมพ์ก่อนตัดสินใจซื้อ
สรุป
เครื่องพิมพ์ 3 มิตินั้น มีให้เลือกหลากหลายเทคโนโลยีและราคา ดังนั้น การเลือกซื้อจึงควรพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับการลงทุน จึงมีปัจจัยเด่นๆ ที่ควรพิจารณาดังนี้
- ขนาดชิ้นงาน จำเป็นต้องพิจารณาขนาดชิ้นงานที่ผลิตเป็นประจำ โดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่มีขนาดพื้นที่พิมพ์ขนาดใหญ่จะช่วยให้สามารถผลิตชิ้นงานขนาดใหญ่ได้
- วัสดุพิมพ์ จำเป็นต้องพิจารณาวัสดุพิมพ์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น วัสดุพลาสติกที่มีความแข็งแรงสูงสำหรับการผลิตชิ้นงานที่ต้องรับแรง หรือวัสดุเรซินที่ทนต่อการกัดกร่อนสำหรับการผลิตชิ้นงานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละเทคโนโลยีด้วย
- ความเร็วในการพิมพ์ จำเป็นต้องพิจารณาความเร็วในการพิมพ์ที่เหมาะสมกับปริมาณการผลิต โดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่มีความเร็วในการพิมพ์สูงจะช่วยให้สามารถผลิตชิ้นงานได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น
- ราคาของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ จำเป็นต้องพิจารณางบประมาณที่มีในการซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติ