ArchiCAD 18 กับการพัฒนาโซลูชั่นในส่วนของการสร้างภาพเรนเดอร์ที่จัดว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญมากสำหรับสถาปนิก เพราะถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถสื่อสารงานออกแบบให้กับลูกค้าได้เห็นภาพมากที่สุด โดยสิ่งที่เราต้องการนั้น นอกจากจะเป็นงานเรนเดอร์ที่มีคุณภาพแล้ว ยังต้องสามารถใช้งานได้ง่าย เหมาะสมกับผู้ใช้งานมือใหม่อีกด้วย ดังนั้นสำหรับเวอร์ชั่น18 ArchiCAD จึงได้ทำการเปลี่ยนแปลง Engine ที่ใช้ในการเรนเดอร์มาเป็น CineRender Engine ที่มีคุณภาพในการเรนเดอร์ทัศนียภาพระดับไฮเอนด์จาก Cinema 4D โดย Maxon นั่นเอง
สำหรับ CineRender Engine ใน ArchiCAD 18 นี้ จะมีคอนเซปในการใช้งานเช่นเดียวกับลักษณะการถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพดิจิตอลที่เราสามารถปรับเลือกโหมดในการถ่ายภาพในลักษณะต่างๆ ได้ โดยในกรณีของผู้ใช้งานหรือช่างภาพมือสมัครเล่น วิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นสำหรับการถ่ายภาพก็คงหนีไม่พ้นการใช้งานและถ่ายภาพด้วยโหมด Auto นั่นเอง
ArchiCAD 18 ก็เช่นกัน ในกรณีที่ผู้ใช้งานมือใหม่ต้องการจะสร้างภาพเรนเดอร์นั้น เราสามารถเลือกใช้งานการตั้งค่าเริ่มต้นของตัว CineRender Engine ได้เลย โดยวัตถุประสงค์ของโซลูชั่นนี้ก็คือการสร้างภาพเรนเดอร์ที่มีคุณภาพ ที่แม้ว่าจะเป็นเพียงลักษณะการตั้งค่าในโหมดเริ่มต้น (Default)
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เราลองย้อนกลับไปดูภาพเรนเดอร์จาก LightWorks Engine ใน ArchiCAD 17 กัน ภาพที่เห็นด้านบนจะเป็นลักษณะของการตั้งค่าโหมดเริ่มต้นหรือ Default นั่นเอง ซึ่งจะเห็นว่าคุณภาพของภาพเรนเดอร์ที่ได้จะขาดคุณภาพ และค่อนข้างผิดไปจากความต้องการของเรา ทั้งในส่วนของสภาพแสงเงา ไปจนถึงลักษณะบรรยากาศของงานที่ยังขาดความสมจริงอยู่ ดังนั้นเพื่อความชัดเจนในวัตถุประสงค์ของโซลูชั่นนี้ เราลองมาดูภาพเรนเดอร์ในมุมมองเดียวกันจาก ArchiCAD18 โดย CineRender Engine กันอีกครั้ง
ภาพที่เห็นด้านบนเป็นภาพที่ได้จากการเรนเดอร์ด้วยโหมดการตั้งค่าเริ่มต้น (Default Settings) ซึ่งไม่ได้ทำการปรับแต่งหรือเปลี่ยนการตั้งค่าใดๆ เลย จะเห็นว่าคุณภาพ Engine ของ CineRender นั้นจะค่อนข้างมีคุณภาพที่เหนือชั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับ Engine เดิมจาก lightworks โดยเราสามารถสังเกตได้ถึงรายละเอียดต่างๆ ของภาพเรนเดอร์ที่มาจาก CineRender ทั้งในส่วนของพื้นหลังที่เป็นลักษณะของท้องฟ้าที่มีความสมจริง (Physical Sky) อีกทั้งยังมีรายละเอียดการสะท้อนและการหักเหของแสงบริเวณ Curtain Wall ซึ่งภาพรวมของลักษณะแสงเงาที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างมีความนุ่มนวลสวยงาม ที่แม้จะเป็นเพียงแค่การตั้งค่าเริ่มต้น แต่ CineRender ก็สามารถสร้างสรรค์ทัศนียภาพที่สมจริงได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
อีกหนึ่งจุดเด่นของ CineRender Engine คือลักษณะหน้าต่างการใช้งานที่เราสามารถประเมินผลลักษณะภาพที่เราต้องการเรนเดอร์ได้ก่อนโดยการคลิกดูได้ในหน้าต่าง Preview ซึ่งในส่วนนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานของเราได้มาก ในกรณีของการตั้งค่ารายละเอียดของงานเรนเดอร์ในแต่ละส่วน ที่ย่อมจะมีรายละเอียดความซับซ้อนของแสงเงาที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของการเรนเดอร์ลักษณะภาพ Interior ภายในอาคารนั้นแน่นอนว่าค่อนข้างจะท้าทายกว่าลักษณะภาพแบบ Exterior ดังนั้นเราก็จะสามารถประเมินคุณภาพโดยรวมของงานประกอบไปกับการตั้งค่ารายละเอียดในส่วนต่างๆ ได้
จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นในกรณีของการเรนเดอร์ภาพ Interior เราจะสามารถสังเกตได้ในภาพ Preview ของหน้าต่าง PhotoRendering Settings ของ CineRender ได้เลยว่าลักษณะภาพที่ได้นั้นจะค่อนข้างมืดเพราะมีแสงภายในไม่เพียงพอ ซึ่งในส่วนนี้หมายความว่า การตั้งค่าเริ่มต้น (Default) นั้นไม่ได้ดีและเหมาะสมกับทุกสภาวะของงานเรนเดอร์ เมื่อเทียบกับกล้องดิจิตอลแล้วก็เช่นกันกับในโหมด Auto ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะใช้ไม่ได้กับทุกสภาวะแสง ดังนั้นทางผู้ผลิตกล้องดิจิตอลจึงมีแนวคิดในการแก้ปัญหานี้ที่เรียกว่า ‘Scene’ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานมือใหม่ได้ค่อนข้างมากทีเดียว เนื่องจากเราสามารถเลือกใช้ Scene ต่างๆ ที่เหมาะสมกับการถ่ายภายที่เราต้องการได้ เช่น ลักษณะฉากของภูมิทัศน์ (Landscape) ภาพบุคคล (Portrait) หรือโหมดถ่ายกลางคืน (Night Shot) ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เราได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีกว่าการใช้งานโหมดอัตโนมัติ (Auto) แม้ว่าจะเป็นในกรณีที่สภาพแสงนั้นซับซ้อน โดย ArchiCAD18 ได้นำแนวคิดนี้มาใช้กับ CineRender Engine ด้วยการเตรียมเซ็ตของ Scene ต่างๆ เอาไว้ให้เราเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานเรนเดอร์ให้สวยงามสมจริงยิ่งขึ้น
สำหรับ Scene ต่างๆ ภายใน CineRender Engine นั้น เราสามารถเข้าไปเลือกใช้งานได้ง่ายจากหน้าต่าง PhotoRendering Settings ได้เลย ซึ่งในกรณีของลักษณะภาพ Interior ก็จะมีรูปแบบการตั้งค่า Indoor ในสภาพแสงต่างๆ ให้เลือกอีกไม่ว่าจะเป็น Daylight, Lamps และ White Model
หลังจากที่เราเลือกลักษณะ Scene ที่ต้องการและเริ่มเรนเดอร์ภาพแล้ว เราลองมาดูในส่วนของปัจจัยอื่นที่สำคัญในการสร้างภาพเรนเดอร์ ซึ่งสิ่งที่ใครหลายคนต่างให้ความสนใจนอกจากจะเป็นคุณภาพของงานแล้ว แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นในเรื่องของความเร็วในการเรนเดอร์ภาพ ซึ่งจะสังเกตได้จากประสิทธิภาพการทำงานของ CPU ที่เป็นอันชัดเจนว่า CineRender Engine นั้น มีความสามารถในการทำงานและดึงประสิทธิภาพของ CPU มาคำนวณเพื่อเรนเดอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อภาพนั้นเสร็จสมบูรณ์ เราจะสังเกตได้เลยว่าภาพที่ได้นั้นจะมีคุณภาพแสงที่ดูสว่างขึ้นจากเดิม ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่แหล่งกำเนิดแสงใดๆ เพิ่มเติมเลย เป็นผลมาจากเทคโนโลยี Global Illumination ที่ทันสมัยจากการตั้งค่า Scene ที่เราเลือกใช้ ซึ่งมีความรวดเร็วในการคำนวณเพราะไม่ได้รบกวนพื้นที่ทรัพยากรเครื่องมาก อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ง่ายสำหรับผู้ใช้มือใหม่อีกด้วย
(ตัวอย่างภาพเรนเดอร์จากลักษณะ Scene แบบต่างๆ)
นอกเหนือจากลักษณะของ Scene ที่ทาง CineRender Engine ได้จัดเตรียมไว้ให้นี้ เรายังสามารถเข้าไปตั้งค่ารายละเอียดของสภาพแสงเพิ่มเติมได้อีก ไปจนถึงในส่วนของการตั้งค่าสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศที่แตกต่างกัน โดยสำหรับผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญทางด้านภาพเรนเดอร์อยู่แล้วอาจคิดว่า Engine นี้เหมาะสำหรับผู้ใช้มือใหม่เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วโซลูชั่นการเรนเดอร์ภาพใหม่จาก ArchiCAD18 นี้ ไม่ได้เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เพียงเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเพิ่มเติ่ม และลักษณะของเอฟเฟคท์เฉพาะต่างๆ ได้อีกโดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ซอฟท์แวร์ตัวอื่นช่วยให้ภาพเรนเดอร์ดูโปรอีกเลย เพราะเป้าหมายของ ArchiCAD18 ในโซลูชั่นนี้คือการมอบความสามารถในการผลิตทัศนียภาพที่มีคุณภาพสำหรับผู้ใช้งานทุกคน โดยแนวคิดนี้สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้อีกจากแนวคิดของกล้องดิจิตอลเช่นกัน
สำหรับช่างภาพมืออาชีพส่วนใหญ่ เวลาถ่ายภาพก็มักจะมีโหมดในการปรับเซ็ทการตั้งค่าเฉพาะทางต่างๆของตัวเอง ซึ่งสำหรับ ArchiCAD18 นั้นก็มีความสามารถในการปรับตั้งค่าต่างๆใน CineRender เช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพงานเรนเดอร์ของเรานั้นสมจริงในระดับไฮเอนด์เลยทีเดียว ยกตัวอย่างอย่างในกรณีของภาพเรนเดอร์ Interior ที่เราอาจจะต้องการแสดงลักษณะรายละเอียดของวัสดุที่ใช้ ดังนั้นการตั้งค่าการแสดงผลของวัสดุแบบต่างๆ นั้น จำเป็นจะต้องใช้รูปแบบของการตั้งค่ารายละเอียดที่จะช่วยทำให้วัสดุดังกล่าวนั้นดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นนั้นตัวโปรแกรมเองก็มีรูปแบบวัสดุที่มีคุณภาพให้เราเลือกใช้มากกว่า 800 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญในงานเรนเดอร์นั้น ในส่วนนี้เรายังสามารถปรับแต่งรายละเอียดของวัสดุเพิ่มได้อีกด้วย
อย่างในส่วนของวัสดุหนังสีแดงของโซฟาที่ปรากฎอยู่ในภาพเรนเดอร์ Interior นี้ ในกรณีที่เราได้ทำการตั้งค่าและปรับลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะ Bump / Mapping / Displacement เพื่อให้วัสดุดังกล่าวนั้นดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วต้องการจะดูผลของการปรับแต่งรายละเอียดเฉพาะส่วนของภาพ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาเรนเดอร์ภาพทั้งหมดเพียงเพื่อที่จะดูลักษณะการแสดงผลของวัสดุหนังทั้งหมดว่าจะเป็นอย่างไรในตอนท้าย เราสามารถใช้คำสั่ง Marquee ช่วยในการเรนเดอร์และเลือกเฉพาะส่วนที่ต้องการได้ ซึ่งจะช่วยให้เราประหยัดเวลาในการพรีวิวดูรายละเอียดต่างๆได้สั้นลงมาก
นอกจากความสามารถในการ Bump และ Mapping เพื่อปรับแต่งลักษณะวัสดุแล้วนั้น ในส่วนของการตั้งค่าในระดับแอดวานซ์ของ CineRender Engine ยังสามารถปรับแต่งตั้งค่าลักษณะสภาพแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างอาคาร The Cairns Family Health & Bioscience Research Complex ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ ArchiCAD18 ในกรณีที่ต้องการจะสร้างภาพเรนเดอร์ที่จะช่วยนำเสนอภาพบรรยากาศของห้องทดลองในการทำวิจัยที่มีลักษณะของของเหลวภายในเครื่องแก้วนั้น เราสามารถใส่ลักษณะของแหล่งกำเนิดแสงอย่าง GDL Lamp ลงไป ซึ่งในจุดนี้เรายังสามารถเพิ่มลักษณะของเอฟเฟคท์พิเศษเพิ่มเติมเพื่อสร้างบรรยากาศของงานเรนเดอร์ให้สมจริงยิ่งขึ้น
ซึ่งในส่วนของหน้าต่างการตั้งค่า GDL Lamp นั้นก็มีลักษณะที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่นในส่วนของการตั้งค่าลักษณะแสงแบบ Spot Light ก็จะมีตัวอย่างของรูปภาพเอฟเฟคท์ของแสงในลักษณะต่างๆประกอบเพื่ออธิบายการตั้งค่า ช่วยให้เราเข้าใจและเห็นภาพในการกำหนดค่าในส่วนต่างๆมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการแสดงผลของแสงแบบ Visible Light, Noise, Caustics, Lens Flare ซึ่งประโยชน์ของการตั้งค่าทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลักษณะงานเรนเดอร์ของเรามีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ด้วยคุณภาพของแสงที่มีความนุ่มนวล รวมถึงรายละเอียดของการสะท้อนและหักเหบนพื้นผิวต่างๆ ล้วนเป็นผลมาจากการตั้งค่าเอฟเฟค กับแหล่งกำเนิดแสง (GDL Lamp) อย่างบริเวณปากขวดแก้วทดลองที่มีลักษณะของไอน้ำที่ลอยออกมา ก็ถูกจำลองขึ้นจากการตั้งค่า Special Noise ด้วยเช่นกัน อีกทั้งในส่วนของลักษณะของเหลวที่ได้กำหนดลักษณะความโปร่งแสง (Transparent) ก็จัดเป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีการเรนเดอร์ขั้นสูงสำหรับสถาปนิที่ต้องการความสามารถของ Engine ที่สามารถสร้างบรรยากาศของทัศนียภาพสระน้ำ และพื้นผิวน้ำรอบๆอาคาร ที่มีลักษณะการสะท้อนของบริบทรอบๆได้อย่างมีชีวิตชีวา
(ตัวอย่างภาพเรนเดอร์ลักษณะการตั้งค่าขั้นสูง)
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายในของอาคารที่มีสภาพแสงน้อยอย่างโบสถ์ ก็สามารถสร้างภาพเรนเดอร์ที่มีรายละเอียดของฝุ่นในอากาศที่ปรากฎจากแหล่งกำเนิดแสงในลักษณะของลำแสง (Sun beam) ทะลุกระจกสีที่มีลักษณะรังสีแบบ Volumetric หรือการเรนเดอร์ลักษณะของต้นหญ้าแบบ3มิติ ก็สามารถสร้างขึ้นได้จากเอฟเฟคท์ของการเรนเดอร์ภาพขั้นสูงของ CineRender Engine ซึ่งสามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้มากในกรณีของงานทัศนียภาพที่ต้องการนำเสนอมุมมองของสภาพแวดล้อม และสะท้อนความเป็น Green Environment เสมือนจริงรอบๆอาคารของเราได้ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างโมเดลจริงเลย
(ตัวอย่างภาพเรนเดอร์เปรียบเทียบระหว่างภาพถ่ายจริง และภาพเรนเดอร์โดย CineRender)
ภาพถ่ายจริง
ภาพเรนเดอร์โดย CineRender
และสุดท้ายกับการพัฒนารูปแบบงานเรนเดอร์จาก GRAPHISOFT ที่ไม่สามารถพบเจอได้เลยบนซอฟท์แวร์ BIM ตัวไหนๆก็ตาม หรือแม้กระทั่งกับใน Cinema 4D ที่เป็นลักษณะของการเรนเดอร์แบบ White Model เพียงคลิกแค่1ครั้ง คุณก็จะสามารถสร้างรูปแบบของโมเดลพลาสติกในมุมมอง Conceptual ซึ่งนอกจากจะมีความสามารถในการทำงานของขั้นตอนต่างๆได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีความสามารถในส่วนของงานเรนเดอร์ทัศนียภาพในระดับไฮเอนด์อีกด้วย ArchiCAD18 จึงจัดเป็นซอฟท์แวร์ BIM ที่สามารถช่วยให้ทั้งกลุ่มผู้ใช้งานสถาปนิกและนักออกแบบ มีสะดวกสบายในการถ่ายทอดผลงานความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
BY… Piamkhae A/E/C