หลายคนมีไอเดียธุรกิจอยู่ในหัว แต่ติดตรงที่ “ต้นทุนเริ่มต้น” โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นแม่พิมพ์ที่ทั้งแพงและใช้เวลา แต่วันนี้คุณไม่ต้องรออีกต่อไป—ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing คุณสามารถผลิตสินค้าจำนวนน้อย (Low Volume Production) ได้จริง ไม่ต้องพึ่ง Mold ก็สามารถสร้างชิ้นงานคุณภาพ พร้อมออกขายหรือทดลองตลาดได้ทันที เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ธุรกิจเฉพาะทาง หรือใครก็ตามที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการผลิต ลองดูว่า 3D Printing จะเปลี่ยนวิธีเริ่มต้นธุรกิจของคุณได้อย่างไร
- Low Volume Production คืออะไร?
- ทำไมการฉีดขึ้นรูปจึงมีราคาแพง?
- Low Volume Production: Benefits of 3D Printing
- 1. ลดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย (Reduce costs, Save expenses)
- 2. ความเร็วในการดำเนินการและการผลิต (Speed of Execution and Production)
- 3. ความคล่องตัว และความยืดหยุ่น (Agility & Flexibility)
- 4. ลดสินค้าคงคลังด้วยการผลิตตามความต้องการ (Reduce Inventory with On-demand Production)
- 5. ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
- บทสรุป
Low Volume Production คืออะไร?
Low Volume Production หรือการผลิตจำนวนน้อย คือกระบวนการผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนในปริมาณไม่มาก มักอยู่ในช่วง 10–500 ชิ้น ซึ่งถือเป็น “โซนทดลองตลาด” หรือ “ผลิตเพื่อการเฉพาะเจาะจง” โดยมากจะนิยมในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความเร็วในการเข้าสู่ตลาด หรือมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์บ่อย
ทำไม 3D Printing ถึงเหมาะกับการผลิต Low Volume?
เพราะมัน “เร็ว”, “ยืดหยุ่น” และ “ไม่ผูกมัดกับต้นทุนคงที่”
ต่างจากการผลิตแบบเดิมที่คุณต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ตั้งแต่เริ่ม (เช่น ลงทุนสร้าง Mold) การใช้ 3D Printer เปิดโอกาสให้คุณลองผิดลองถูก และ “สร้างจริงได้ภายในไม่กี่วัน”
ข้อดีหลัก ๆ คือ:
✅ ไม่ต้องขึ้นแม่พิมพ์ → ลดเวลาและต้นทุนเริ่มต้น
✅ ปรับดีไซน์ได้ตลอด → เหมาะกับสินค้าทดลองตลาด
✅ ผลิตจำนวนเท่าที่ต้องการ → ไม่มีของเหลือทิ้ง
✅ สร้างสินค้าส่วนบุคคลได้ → เช่น งาน Custom, อะไหล่เฉพาะ
รู้จัก Injection Molding – วิธีผลิตแบบดั้งเดิมที่อาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
การฉีดขึ้นรูป (Injection Molding) เป็นวิธีการที่นิยมใช้มากที่สุดในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกจำนวนมากๆ หรือการผลิตแบบ Mass Production ซึ่งจะต้องสร้างเครื่องมือหรือแม่พิมพ์ก่อนจึงจะผลิตผลิตภัณฑ์ปลายทางได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่เหมือนกันในปริมาณมากอย่างรวดเร็วโดยมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนเริ่มแรกในการสร้างแม่พิมพ์อาจสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากชิ้นส่วนที่ผลิตมีความซับซ้อน






ทำไมการฉีดขึ้นรูปจึงมีราคาแพง?
ต้นทุนของแม่พิมพ์ (Mold)
- สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้การฉีดขึ้นรูปมีราคาแพงก็คือ ต้นทุนของแม่พิมพ์ แบบพิมพ์ หรือ โมลด์ (Mold) แม่พิมพ์จำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งสำหรับแต่ละชิ้นส่วน ซึ่งหมายความว่าจะต้องสร้างแม่พิมพ์ใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกชิ้น ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากชิ้นส่วนมีคุณสมบัติผลิตที่ซับซ้อนหรือต้องการช่องหลายช่อง
- ราคาของแม่พิมพ์ค่อนข้างแพงและต้องใช้เวลานาน อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ ส่วนใหญ่นั้นมักสร้างจากวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เช่น เหล็ก เหล็กหล่อ หรืออะลูมิเนียม เป็นต้น
ความซับซ้อนของการออกแบบ
- อีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อต้นทุนของการฉีดขึ้นรูปคือ ความซับซ้อนของชิ้นส่วนที่ผลิต ชิ้นส่วนที่มีรายละเอียดซับซ้อนหรือรูปทรงหลายแบบอาจทำให้แม่พิมพ์มีความท้าทายมากขึ้น ยิ่งมีรูปทรงและโครงสร้างซับซ้อน หรือมีขนาดใหญ่ ยิ่งทำให้มีราคาแพงกว่า และการผลิตมีความยาก ต้องใช้เวลานาน ซึ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นได้
- นอกจากนี้ ชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำสูงหรือพิกัดความเผื่อต่ำ อาจต้องใช้เครื่องมือหรือเวลาในกระบวนการเพิ่มเติมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ต้นทุนแรงงาน
- ต้นทุนค่าแรงที่เกี่ยวข้องกับการฉีดขึ้นรูปยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายโดยรวมอีกด้วย ช่างเทคนิคที่มีทักษะจำเป็นต้องใช้งานและบำรุงรักษาอุปกรณ์ และกระบวนการนี้มักต้องใช้ขั้นตอนและการตรวจสอบหลายขั้นตอน
- นอกจากนี้ การฉีดขึ้นรูปอาจต้องมีขั้นตอนหลังการประมวลผล เช่น การทาสี การประกอบ หรือบรรจุภัณฑ์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้นการผลิตแบบ Mass Production ที่จำเป็นต่อการผลิตจำนวนมากๆ เพื่อให้คุ้มค่ากับการขึ้น Mold แต่ละครั้ง อาจไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตสินค้าจำนวนไม่มาก ธุรกิจขนาดเล็ก หรือการผลิตสินค้าที่ต้องการความหลากหลาย ตลอดจนงานที่ต้องผลิตตามออเดอร์ เพราะต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือฉีดขึ้นรูป หรือการที่จะไปเปิด Mold อาจกลายเป็นอุปสรรคได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาดำเนินการ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่า และจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นสูงขึ้นด้วย เมื่อพิจารณาตามเป้าหมายการผลิตในปริมาณหลัก 5 ชิ้น 10 ชิ้น หรือ 100 ชิ้น หรือการผลิตสินค้าตัวอย่าง ชิ้นงานต้นแบบก่อนผลิตจริง (Prototyping) จึงเหมาะกับการผลิตแบบ Low Volume Production มากกว่า ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ จึงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่จะมาเพิ่มทางเลือก โดยเปลี่ยนแนวทางการผลิตให้ต่างไปจากเดิม ด้วยผสานความก้าวหน้าของ Additive Manufacturing ที่จะทำให้การผลิตชิ้นงานน้อยชิ้นเป็นไปได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) เพราะสามารถผลิตจำนวนน้อยได้ และไม่ต้องขึ้น Mold ที่มีต้นทุนสูง แต่ยังคงได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพ
การผลิตแบบ Low Volume Product (การผลิตแบบตามสั่ง ปริมาณน้อย แบบตรงเวลา หรือภายในวันเดียวกัน) ยังมีบทบาท และส่วนช่วยผสานแนวทางใหม่เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจในโลกการผลิตยุคปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีความ Unique มากขึ้น และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย รวดเร็ว ต่อเนื่องด้วยต้นทุนที่ต่ำ เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการ การผลิตในอุตสาหกรรม และสามารถพัฒนาโมเดลทางธุรกิจเพื่อให้มีประสิทธิภาพทางการเงินที่ดีขึ้นได้

Low Volume Production: Benefits of 3D Printing
1. ลดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย (Reduce costs, Save expenses)
ข้อดีหลักๆ ของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เลยคือ ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตลดค่าใช้จ่ายลง ลดต้นทุนได้มาก เพราะว่าต้นทุนต่อชิ้นค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะการผลิตแบบ Low Volume Product สามารถปรับเปลี่ยนแบบได้ง่าย ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำ Mold ที่มีราคาแพง
นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนด้านแรงงาน ลดค่าแรงของการทำงานลง ประหยัดแรงงาน ลดความจำเป็นในการใช้แรงงานในการผลิตชิ้นงานที่ซับซ้อนกับการผลิตแบบเดิมที่ต้องใช้ช่างมืออาชีพในการผลิตวัตถุดิบซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและอาจต้องใช้เวลานาน แต่สำหรับเครื่อง 3D Printer แล้วสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำเช่นเดียวกัน และยังสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ทั้งยังลดความเสี่ยงของความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือได้อีกด้วย
ช่วยประหยัดพลังงานในการผลิต โดย 3D Printer มีการทำงานที่อาศัยเครื่องพิมพ์เพียงเครื่องเดียวและรวดเร็วกว่าการผลิตในรูปแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้การผลิตหลายขั้นตอน ซึ่งต้องใช้เครื่องมือหลายชนิด ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าไฟได้
ลดของเสีย ลดการสูญเสียวัตถุดิบเมื่อเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิม เพราะว่าจะใช้วัสดุเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้ไม่ต้องมีการผลิตแบบพิมพ์ขึ้นมาใช้ ยังผลให้ลดจำนวนชิ้นส่วนของ Mold ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ความเร็วในการดำเนินการและการผลิต (Speed of Execution and Production)
หนึ่งในความสำคัญของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ในอุตสาหกรรมการผลิตเป็นเรื่องของความเร็วในการพิมพ์ เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตในแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลาเตรียมนานกว่าจะได้งานที่ผลิตออกมา แต่สำหรับเครื่อง 3DPrinter สามารถสั่งพิมพ์งานออกแบบที่มีความซับซ้อนจากโปรแกรมเขียนแบบอย่าง CAD (Computer Aided Design) หรือไฟล์ดิจิทัลได้โดยตรง ให้ได้ชิ้นงานออกมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งสามารถช่วยในการตรวจสอบและพัฒนาชิ้นงานที่ต้องการผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องใช้ Mold
ในบริบทของการรวมชิ้นส่วน (Part Consolidation) สำหรับการผลิตแบบ Low Volume Product การผลิตด้วย 3D Printer ช่วยให้คุณพิมพ์ชิ้นส่วน ชิ้นงานที่ซับซ้อน หรือชุดประกอบที่มีข้อต่อได้ครบสมบูรณ์ในขั้นตอนเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่ง กระบวนการประกอบหลังการผลิตจะถูกตัดออกเมื่อรวมชิ้นส่วนย่อยหลายชิ้นเข้าด้วยกัน แนวทางดังกล่าวยังมาซึ่งความได้เปรียบในเรื่องความเร็ว ช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และลดความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานเนื่องจากมีซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องน้อยลงในบริบทของการผลิต แต่ยังคงมีความแข็งแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตแบบเดิมที่ต้องผลิตชิ้นส่วนที่ละชิ้นมาประกอบกัน ซึ่งทำให้ใช้เวลาในการทำงานที่นานกว่า ทำให้การพิมพ์ 3 มิติ ที่ปราศจาก Mold นี้ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้น
3. ความคล่องตัว และความยืดหยุ่น (Agility & Flexibility)
กำจัดเรื่องเครื่องมือ Mold ที่กำหนดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเองไม่ได้ การตอบสนองตลาดด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ช่วยลดเวลาแรงงานทำให้กระบวนการผลิตรวดเร็วขึ้น และมีความคล่องตัว ความยืดหยุ่นสูงในแง่ของการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วน ปรับแต่งผลิตภัณฑ์จำนวนมาก (Mass Customization) หรือการออกแบบใหม่ สำหรับการผลิตแบบ Low Volume Product เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมมากกว่ากระบวนการแบบดั้งเดิม เนื่องจากทำให้สามารถออกแบบและผลิตชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนซึ่งผสมผสานความแม่นยำ ความทนทาน และความสวยงามเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นแนวทางที่เลือกใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน หรือต้นแบบที่แตกต่างกัน ผู้ผลิตสามารถสร้างสินค้าต้นแบบที่เหมาะกับการทดลองตลาดก่อนผลิตจริง หรือปรับปรุงสินค้าได้ในเวลาที่สั้นลง ทำให้สามารถตอบสนองต่อแนวโน้มของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันทีทันใด
ในด้านการทดลองและพัฒนา 3D Printer ช่วยให้สามารถทำการทดลองกับดีไซน์ใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาทำ Mold มากมาย ทำให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการโอนการผลิตไปยังกระบวนการผลิตอื่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความคล่องตัวในการผลิตนี้ ส่งผลดีต่อการเติบโตทางการค้าและการเงินของบริษัทได้เป็นอย่างมาก หรือบางครั้งอาจนำไปสู่การผลิตในปริมาณมากได้

4. ลดสินค้าคงคลังด้วยการผลิตตามความต้องการ (Reduce Inventory with On-demand Production)
การผลิตแบบ Low Volume Product มักใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตามต้องการ วิธีนี้ทำให้การจัดการคำสั่งซื้อง่ายขึ้น โดยจำกัดความเสี่ยงจากสินค้าที่ขายไม่ออก และทำให้ตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด หรือความต้องการสูงที่อาจมาเป็นระยะๆ ได้อย่างแข็งขันด้วยการผลิตที่รวดเร็ว และตามความต้องการ การผลิตแบบเพิ่มปริมาณจะหลีกเลี่ยงการเก็บสต็อกและต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งยังสามารถบริหารจัดการหน่วยจัดเก็บสินค้าได้ (SKU : Stock Keeping Units) เพราะเมื่อพิจารณาว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ หรือ Mold สำหรับผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น เพราะ 3D Printer สามารถผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ในชุดการผลิตเดียวกัน บนอุปกรณ์เดียวกันได้ด้วยความยืดหยุ่นนี้ จึงสามารถบริหารจัดการ SKU รวมผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วนต่างๆ หลายรายการเข้าด้วยกัน และเพิ่มอัตราการผลิตได้
5. ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
การใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ช่วยลดของเสียและการใช้ทรัพยากร ลดขยะ ลดการสูญเสียวัตถุดิบเมื่อเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิมได้ด้วย เพราะว่าจะใช้วัตถุดิบเพียงพอตามที่จำเป็นเท่านั้น ลดการผลิตของเสียและการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
3D Printer ยังช่วยให้สามารถสร้างสรรค์ ผลิตชิ้นงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ทำให้เราออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้นด้วย
นอกจากนี้การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงยังช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัทสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการรักษ์สิ่งแวดล้อม
บทสรุป
การฉีดขึ้นรูป (Injection Molding) เป็นกระบวนการผลิตที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีประสิทธิภาพและความเร็ว อย่างไรก็ตาม อาจมีราคาแพงเนื่องจากต้นทุนของแม่พิมพ์ (Mold) ความซับซ้อนของการออกแบบ ต้นทุนวัสดุ และต้นทุนแรงงาน เพื่อลดต้นทุน บริษัทสามารถพิจารณาวิธีการผลิต เครื่องมือ กระบวนการอื่นๆ อย่างเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3DPrinting) หรือร่วมมือกับผู้ผลิตที่เหมาะสม เมื่อทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
การผลิตด้วย 3D Printer กลายเป็นโซลูชันที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุน รวดเร็ว และยืดหยุ่นยิ่งขึ้นสำหรับการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกปริมาณน้อยแบบ Low Volume Product ซึ่งการรวมกระบวนการหลายขั้นตอนไว้ในเครื่องเดียว จะช่วยให้ Cycle Time ลดลง และลดจำนวนชิ้นส่วนของ Mold ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อน ที่เกินกว่าจะผลิตแบบพิมพ์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนจาก Cutting Tools ทั่วไปได้อีกด้วย เมื่อผลิตต้นแบบ และชิ้นส่วน หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและราคาไม่แพง จะช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุน และระยะเวลาดำเนินการ ทำให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูงสู่ตลาดได้
นอกจากนี้ ให้พิจารณาร่วมมือกับพันธมิตรที่เชื่อถือได้ ผู้ผลิต ตลอดจนตัวแทนจำหน่ายโซลูชันเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น และให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญ เนื่อจากสามารถนำเสนอบริการเพิ่มเติม เช่น การให้คำปรึกษาด้านการออกแบบหรือหลังการประมวลผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของผลผลิต การสื่อสาร และความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตและอาจลดต้นทุนโดยรวมได้
หากสนใจในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 095-365-6871 หรือนัดหมายเข้าเยี่ยมชมเพื่อเปิดประสบการณ์สัมผัสการทดลองใช้จริงเครื่อง 3D Printer ที่ ศูนย์นวัตกรรมของแอพพลิแคด (AIC : AppliCAD Innovation Center) : คลิกลงทะเบียน