Engage Your Visitors!

Click here to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Article - 3DPrinter Mi, Article Mi, Articles, People Talks

Low Volume Production ด้วย 3D Printing – ไม่ต้องขึ้น MOLD ก็ดีต่อธุรกิจ!

Mold 3D print

หลายคนมีไอเดียธุรกิจอยู่ในหัว แต่ติดตรงที่ “ต้นทุนเริ่มต้น” โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นแม่พิมพ์ที่ทั้งแพงและใช้เวลา แต่วันนี้คุณไม่ต้องรออีกต่อไป—ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing คุณสามารถผลิตสินค้าจำนวนน้อย (Low Volume Production) ได้จริง ไม่ต้องพึ่ง Mold ก็สามารถสร้างชิ้นงานคุณภาพ พร้อมออกขายหรือทดลองตลาดได้ทันที เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ธุรกิจเฉพาะทาง หรือใครก็ตามที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการผลิต ลองดูว่า 3D Printing จะเปลี่ยนวิธีเริ่มต้นธุรกิจของคุณได้อย่างไร

Low Volume Production คืออะไร?

Low Volume Production หรือการผลิตจำนวนน้อย คือกระบวนการผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนในปริมาณไม่มาก มักอยู่ในช่วง 10–500 ชิ้น ซึ่งถือเป็น “โซนทดลองตลาด” หรือ “ผลิตเพื่อการเฉพาะเจาะจง” โดยมากจะนิยมในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความเร็วในการเข้าสู่ตลาด หรือมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์บ่อย

ทำไม 3D Printing ถึงเหมาะกับการผลิต Low Volume?

เพราะมัน “เร็ว”, “ยืดหยุ่น” และ “ไม่ผูกมัดกับต้นทุนคงที่”
ต่างจากการผลิตแบบเดิมที่คุณต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ตั้งแต่เริ่ม (เช่น ลงทุนสร้าง Mold) การใช้ 3D Printer เปิดโอกาสให้คุณลองผิดลองถูก และ “สร้างจริงได้ภายในไม่กี่วัน”
ข้อดีหลัก ๆ คือ:
✅ ไม่ต้องขึ้นแม่พิมพ์ → ลดเวลาและต้นทุนเริ่มต้น
✅ ปรับดีไซน์ได้ตลอด → เหมาะกับสินค้าทดลองตลาด
✅ ผลิตจำนวนเท่าที่ต้องการ → ไม่มีของเหลือทิ้ง
✅ สร้างสินค้าส่วนบุคคลได้ → เช่น งาน Custom, อะไหล่เฉพาะ

รู้จัก Injection Molding – วิธีผลิตแบบดั้งเดิมที่อาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่

การฉีดขึ้นรูป (Injection Molding) เป็นวิธีการที่นิยมใช้มากที่สุดในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกจำนวนมากๆ หรือการผลิตแบบ Mass Production ซึ่งจะต้องสร้างเครื่องมือหรือแม่พิมพ์ก่อนจึงจะผลิตผลิตภัณฑ์ปลายทางได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่เหมือนกันในปริมาณมากอย่างรวดเร็วโดยมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนเริ่มแรกในการสร้างแม่พิมพ์อาจสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากชิ้นส่วนที่ผลิตมีความซับซ้อน

ทำไมการฉีดขึ้นรูปจึงมีราคาแพง?

ต้นทุนของแม่พิมพ์ (Mold) 

  • สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้การฉีดขึ้นรูปมีราคาแพงก็คือ ต้นทุนของแม่พิมพ์ แบบพิมพ์ หรือ โมลด์ (Mold) แม่พิมพ์จำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งสำหรับแต่ละชิ้นส่วน ซึ่งหมายความว่าจะต้องสร้างแม่พิมพ์ใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกชิ้น ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากชิ้นส่วนมีคุณสมบัติผลิตที่ซับซ้อนหรือต้องการช่องหลายช่อง
  • ราคาของแม่พิมพ์ค่อนข้างแพงและต้องใช้เวลานาน อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ ส่วนใหญ่นั้นมักสร้างจากวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เช่น เหล็ก เหล็กหล่อ หรืออะลูมิเนียม เป็นต้น

ความซับซ้อนของการออกแบบ

  • อีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อต้นทุนของการฉีดขึ้นรูปคือ ความซับซ้อนของชิ้นส่วนที่ผลิต ชิ้นส่วนที่มีรายละเอียดซับซ้อนหรือรูปทรงหลายแบบอาจทำให้แม่พิมพ์มีความท้าทายมากขึ้น ยิ่งมีรูปทรงและโครงสร้างซับซ้อน หรือมีขนาดใหญ่ ยิ่งทำให้มีราคาแพงกว่า และการผลิตมีความยาก ต้องใช้เวลานาน ซึ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นได้
  • นอกจากนี้ ชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำสูงหรือพิกัดความเผื่อต่ำ อาจต้องใช้เครื่องมือหรือเวลาในกระบวนการเพิ่มเติมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ต้นทุนแรงงาน

  • ต้นทุนค่าแรงที่เกี่ยวข้องกับการฉีดขึ้นรูปยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายโดยรวมอีกด้วย ช่างเทคนิคที่มีทักษะจำเป็นต้องใช้งานและบำรุงรักษาอุปกรณ์ และกระบวนการนี้มักต้องใช้ขั้นตอนและการตรวจสอบหลายขั้นตอน
  • นอกจากนี้ การฉีดขึ้นรูปอาจต้องมีขั้นตอนหลังการประมวลผล เช่น การทาสี การประกอบ หรือบรรจุภัณฑ์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นด้วย

ดังนั้นการผลิตแบบ Mass Production ที่จำเป็นต่อการผลิตจำนวนมากๆ เพื่อให้คุ้มค่ากับการขึ้น Mold แต่ละครั้ง  อาจไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตสินค้าจำนวนไม่มาก ธุรกิจขนาดเล็ก หรือการผลิตสินค้าที่ต้องการความหลากหลาย ตลอดจนงานที่ต้องผลิตตามออเดอร์ เพราะต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือฉีดขึ้นรูป หรือการที่จะไปเปิด Mold อาจกลายเป็นอุปสรรคได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาดำเนินการ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่า และจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นสูงขึ้นด้วย เมื่อพิจารณาตามเป้าหมายการผลิตในปริมาณหลัก  5 ชิ้น 10 ชิ้น หรือ 100 ชิ้น หรือการผลิตสินค้าตัวอย่าง ชิ้นงานต้นแบบก่อนผลิตจริง (Prototyping) จึงเหมาะกับการผลิตแบบ Low Volume Production มากกว่า ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ จึงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่จะมาเพิ่มทางเลือก โดยเปลี่ยนแนวทางการผลิตให้ต่างไปจากเดิม ด้วยผสานความก้าวหน้าของ Additive Manufacturing ที่จะทำให้การผลิตชิ้นงานน้อยชิ้นเป็นไปได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) เพราะสามารถผลิตจำนวนน้อยได้ และไม่ต้องขึ้น Mold ที่มีต้นทุนสูง แต่ยังคงได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพ

การผลิตแบบ Low Volume Product (การผลิตแบบตามสั่ง ปริมาณน้อย แบบตรงเวลา หรือภายในวันเดียวกัน) ยังมีบทบาท และส่วนช่วยผสานแนวทางใหม่เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจในโลกการผลิตยุคปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีความ Unique มากขึ้น และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย รวดเร็ว ต่อเนื่องด้วยต้นทุนที่ต่ำ เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการ การผลิตในอุตสาหกรรม และสามารถพัฒนาโมเดลทางธุรกิจเพื่อให้มีประสิทธิภาพทางการเงินที่ดีขึ้นได้

ขอบคุณภาพจาก: Blog-Solaxis

Low Volume Production: Benefits of 3D Printing

1. ลดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย (Reduce costs, Save expenses)

ข้อดีหลักๆ ของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เลยคือ ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตลดค่าใช้จ่ายลง ลดต้นทุนได้มาก เพราะว่าต้นทุนต่อชิ้นค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะการผลิตแบบ Low Volume Product สามารถปรับเปลี่ยนแบบได้ง่าย ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำ Mold ที่มีราคาแพง

นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนด้านแรงงาน ลดค่าแรงของการทำงานลง ประหยัดแรงงาน ลดความจำเป็นในการใช้แรงงานในการผลิตชิ้นงานที่ซับซ้อนกับการผลิตแบบเดิมที่ต้องใช้ช่างมืออาชีพในการผลิตวัตถุดิบซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและอาจต้องใช้เวลานาน แต่สำหรับเครื่อง 3D Printer แล้วสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำเช่นเดียวกัน และยังสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ทั้งยังลดความเสี่ยงของความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือได้อีกด้วย

ช่วยประหยัดพลังงานในการผลิต โดย 3D Printer มีการทำงานที่อาศัยเครื่องพิมพ์เพียงเครื่องเดียวและรวดเร็วกว่าการผลิตในรูปแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้การผลิตหลายขั้นตอน ซึ่งต้องใช้เครื่องมือหลายชนิด ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าไฟได้

ลดของเสีย ลดการสูญเสียวัตถุดิบเมื่อเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิม เพราะว่าจะใช้วัสดุเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้ไม่ต้องมีการผลิตแบบพิมพ์ขึ้นมาใช้ ยังผลให้ลดจำนวนชิ้นส่วนของ Mold ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ความเร็วในการดำเนินการและการผลิต (Speed of Execution and Production)

หนึ่งในความสำคัญของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ในอุตสาหกรรมการผลิตเป็นเรื่องของความเร็วในการพิมพ์ เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตในแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลาเตรียมนานกว่าจะได้งานที่ผลิตออกมา แต่สำหรับเครื่อง 3DPrinter สามารถสั่งพิมพ์งานออกแบบที่มีความซับซ้อนจากโปรแกรมเขียนแบบอย่าง CAD (Computer Aided Design) หรือไฟล์ดิจิทัลได้โดยตรง ให้ได้ชิ้นงานออกมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งสามารถช่วยในการตรวจสอบและพัฒนาชิ้นงานที่ต้องการผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องใช้ Mold

ในบริบทของการรวมชิ้นส่วน (Part Consolidation) สำหรับการผลิตแบบ Low Volume Product การผลิตด้วย 3D Printer ช่วยให้คุณพิมพ์ชิ้นส่วน ชิ้นงานที่ซับซ้อน หรือชุดประกอบที่มีข้อต่อได้ครบสมบูรณ์ในขั้นตอนเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่ง กระบวนการประกอบหลังการผลิตจะถูกตัดออกเมื่อรวมชิ้นส่วนย่อยหลายชิ้นเข้าด้วยกัน แนวทางดังกล่าวยังมาซึ่งความได้เปรียบในเรื่องความเร็ว ช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และลดความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานเนื่องจากมีซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องน้อยลงในบริบทของการผลิต แต่ยังคงมีความแข็งแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตแบบเดิมที่ต้องผลิตชิ้นส่วนที่ละชิ้นมาประกอบกัน ซึ่งทำให้ใช้เวลาในการทำงานที่นานกว่า ทำให้การพิมพ์ 3 มิติ ที่ปราศจาก Mold นี้ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้น

3. ความคล่องตัว และความยืดหยุ่น (Agility & Flexibility)

กำจัดเรื่องเครื่องมือ Mold ที่กำหนดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเองไม่ได้ การตอบสนองตลาดด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ช่วยลดเวลาแรงงานทำให้กระบวนการผลิตรวดเร็วขึ้น และมีความคล่องตัว ความยืดหยุ่นสูงในแง่ของการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วน ปรับแต่งผลิตภัณฑ์จำนวนมาก (Mass Customization) หรือการออกแบบใหม่ สำหรับการผลิตแบบ Low Volume Product เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมมากกว่ากระบวนการแบบดั้งเดิม เนื่องจากทำให้สามารถออกแบบและผลิตชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนซึ่งผสมผสานความแม่นยำ ความทนทาน และความสวยงามเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นแนวทางที่เลือกใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน หรือต้นแบบที่แตกต่างกัน ผู้ผลิตสามารถสร้างสินค้าต้นแบบที่เหมาะกับการทดลองตลาดก่อนผลิตจริง หรือปรับปรุงสินค้าได้ในเวลาที่สั้นลง ทำให้สามารถตอบสนองต่อแนวโน้มของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันทีทันใด

ในด้านการทดลองและพัฒนา 3D Printer ช่วยให้สามารถทำการทดลองกับดีไซน์ใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาทำ Mold มากมาย ทำให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการโอนการผลิตไปยังกระบวนการผลิตอื่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความคล่องตัวในการผลิตนี้ ส่งผลดีต่อการเติบโตทางการค้าและการเงินของบริษัทได้เป็นอย่างมาก หรือบางครั้งอาจนำไปสู่การผลิตในปริมาณมากได้

ขอบคุณภาพจาก: Blog-Solaxis
ขอบคุณภาพจาก: Blog-Solaxis

4. ลดสินค้าคงคลังด้วยการผลิตตามความต้องการ (Reduce Inventory with On-demand Production)

การผลิตแบบ Low Volume Product มักใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตามต้องการ วิธีนี้ทำให้การจัดการคำสั่งซื้อง่ายขึ้น โดยจำกัดความเสี่ยงจากสินค้าที่ขายไม่ออก และทำให้ตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด หรือความต้องการสูงที่อาจมาเป็นระยะๆ ได้อย่างแข็งขันด้วยการผลิตที่รวดเร็ว และตามความต้องการ การผลิตแบบเพิ่มปริมาณจะหลีกเลี่ยงการเก็บสต็อกและต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งยังสามารถบริหารจัดการหน่วยจัดเก็บสินค้าได้ (SKU : Stock Keeping Units) เพราะเมื่อพิจารณาว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ หรือ Mold สำหรับผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น เพราะ 3D Printer สามารถผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ในชุดการผลิตเดียวกัน บนอุปกรณ์เดียวกันได้ด้วยความยืดหยุ่นนี้ จึงสามารถบริหารจัดการ SKU รวมผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วนต่างๆ หลายรายการเข้าด้วยกัน และเพิ่มอัตราการผลิตได้

5. ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)

การใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ช่วยลดของเสียและการใช้ทรัพยากร ลดขยะ ลดการสูญเสียวัตถุดิบเมื่อเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิมได้ด้วย เพราะว่าจะใช้วัตถุดิบเพียงพอตามที่จำเป็นเท่านั้น ลดการผลิตของเสียและการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น

3D Printer ยังช่วยให้สามารถสร้างสรรค์ ผลิตชิ้นงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ทำให้เราออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้นด้วย

นอกจากนี้การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงยังช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัทสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการรักษ์สิ่งแวดล้อม

บทสรุป

การฉีดขึ้นรูป (Injection Molding) เป็นกระบวนการผลิตที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีประสิทธิภาพและความเร็ว อย่างไรก็ตาม อาจมีราคาแพงเนื่องจากต้นทุนของแม่พิมพ์ (Mold) ความซับซ้อนของการออกแบบ ต้นทุนวัสดุ และต้นทุนแรงงาน เพื่อลดต้นทุน บริษัทสามารถพิจารณาวิธีการผลิต เครื่องมือ กระบวนการอื่นๆ อย่างเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3DPrinting) หรือร่วมมือกับผู้ผลิตที่เหมาะสม เมื่อทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

การผลิตด้วย 3D Printer กลายเป็นโซลูชันที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุน รวดเร็ว และยืดหยุ่นยิ่งขึ้นสำหรับการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกปริมาณน้อยแบบ Low Volume Product ซึ่งการรวมกระบวนการหลายขั้นตอนไว้ในเครื่องเดียว จะช่วยให้ Cycle Time ลดลง และลดจำนวนชิ้นส่วนของ Mold ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อน ที่เกินกว่าจะผลิตแบบพิมพ์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนจาก Cutting Tools ทั่วไปได้อีกด้วย เมื่อผลิตต้นแบบ และชิ้นส่วน หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและราคาไม่แพง จะช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุน และระยะเวลาดำเนินการ ทำให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูงสู่ตลาดได้

นอกจากนี้ ให้พิจารณาร่วมมือกับพันธมิตรที่เชื่อถือได้ ผู้ผลิต ตลอดจนตัวแทนจำหน่ายโซลูชันเทคโนโลยีการพิมพ์  3 มิติ ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น และให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญ เนื่อจากสามารถนำเสนอบริการเพิ่มเติม เช่น การให้คำปรึกษาด้านการออกแบบหรือหลังการประมวลผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของผลผลิต การสื่อสาร และความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตและอาจลดต้นทุนโดยรวมได้

หากสนใจในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 095-365-6871 หรือนัดหมายเข้าเยี่ยมชมเพื่อเปิดประสบการณ์สัมผัสการทดลองใช้จริงเครื่อง 3D Printer ที่ ศูนย์นวัตกรรมของแอพพลิแคด (AIC : AppliCAD Innovation Center) : คลิกลงทะเบียน