BIM กับ Green Building ในปัจจุบันการใช้ BIM ไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพในการทำงานออกแบบโครงสร้าง แต่คือการวางรากฐานสู่ ‘ความยั่งยืน’ อย่างแท้จริง — ช่วยให้คุณออกแบบอาคารที่ทั้งมั่นคง แข็งแรง และใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ในเวลาเดียวกัน
จากรายงานสถานะโลกประจำปี 2024 ของสหประชาชาติ (The United Nation’s 2024 Global Status Report) เกี่ยวกับอาคารและการก่อสร้าง ระบุว่า “ภาคส่วนอาคารและการก่อสร้างมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Global climate change) โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 21 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ทั่วโลก” เป้าหมายสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ผลกระทบทางสังคมและความเท่าเทียม (ESGs) และความจำเป็นในการปรับให้สอดคล้องกับข้อกำหนดระหว่างประเทศ เช่น อนุกรมวิธานของสหภาพยุโรป (EU Taxonomy) เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในทุกขั้นตอนของการพัฒนาและการจัดการอาคาร
อาคารสีเขียว คืออะไร ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างไร?
ในห้วงเวลาเดียวกันการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วในประเทศไทย และการหลั่งไหลของประชากรสู่มหานครใหญ่กลายเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้างให้ก้าวสู่ยุคใหม่ ในกระบวนการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ อุตสาหกรรมการก่อสร้างใช้ทรัพยากรธรรมชาติของเราไปเป็นจำนวนมาก การหมดสิ้นของทรัพยากรและพลังงานได้คุกคามการอยู่รอดของมนุษย์ สิ่งแวดล้อมตกอยู่ในความเสี่ยง และอาคารต่างๆ ก่อให้เกิด Carbon Footprint จำนวนมากบนโลกของเรา ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เสนอแนวคิดการอนุรักษ์พลังงานสีเขียวเพื่อแสวงหาความสมดุลระหว่างสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ ความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากของภาคการก่อสร้าง

ขอบคุณรูปภาพ : Facebook Archicad
อาคารสีเขียว หรือ Green Building หนึ่งในแนวคิดการออกแบบ ที่มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านกระบวนการก่อสร้างและกระบวนการคิดอย่างรอบคอบ จึงเป็นทางเลือกที่ไม่อาจมองข้ามภายใต้ความมุ่งมั่นของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตลอดจนเทคโนโลยีด้านวัสดุยั่งยืนและรีไซเคิล (Sustainable Materials and Recycle) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคก่อสร้างจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเมืองออกมาให้ได้น้อยที่สุด ทั้งนี้ Green Building ก็คือ อาคารที่มีการออกแบบ ก่อสร้าง ดำเนินการ การดูแล การซ่อมแซมปรับปรุง และบำรุงรักษา รวมไปถึงการทำลายตัวอาคาร ด้วยแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างขึ้นโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบจากอาคารก่อสร้าง หรือสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างต่างๆ (Built Environment) ที่จะมีผลต่อสุขภาพของผู้คน (Human Health) และสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ (Natural Environment) โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างอาคารที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตลอดวัฏจักรชีวิต (Life cycle) ของตัวอาคาร พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์และมีความยั่งยืน
ด้วยความต้องการที่จะอนุรักษ์โลกและความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น ความยั่งยืน (Sustainability) จึงกลายเป็นวลีสำคัญในแวดวงการก่อสร้าง การออกแบบอาคารที่ยั่งยืนและความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของแนวทางการสร้าง Green Building ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ละประเทศก็มีการตั้งเกณฑ์มาตรฐาน “Green Building” ให้การรับรองอาคารที่มีการออกแบบเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้ใช้อาคารในด้านต่างๆ เพื่อปรับใช้อย่างจริงจัง รวมถึงในประเทศไทยด้วย มีการพัฒนาองค์ความรู้และจัดทำมาตรฐานอาคารสีเขียวของไทยขึ้นมาใช้เองด้วยเช่นกัน
นั่นคือมาตรฐาน “TREES หรือ Thai’s rating of energy and environment sustainability” เป็นระบบประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งถูกพัฒนาโดย”สถาบันอาคารเขียวไทย” เป็นการรวมตัวเพื่อจัดตั้งหน่วยงานของกลุ่มอาสาสมัคร ที่ประกอบด้วยสถาปนิกและวิศวกรจากสมาคมวิชาชีพสองแห่งคือ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีเป้าหมายที่ต้องการพัฒนาองค์ความรู้ และจัดทำมาตรฐานหลักเกณฑ์อาคารเขียวของไทยขึ้นมาใช้เอง แทนการใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคาร Leadership in Energy and Environmental Design (LEED) ที่กำหนดมาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อลดความเสียเปรียบด้านการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ และอีกหนึ่งเป้าหมายคือ ต้องการสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชน และสังคมไทยเรื่องการออกแบบ ก่อสร้าง และพัฒนาอาคารเขียวแบบยั่งยืน ส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องอาคารสีเขียว ที่ถูกต้องให้กับ สถาปนิก วิศวกร หน่วยงานรัฐบาล และประชาชนทั่วไป
บริษัทก่อสร้างและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่างพยายามค้นหาและนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น หาวิธีแก้ปัญหาเพื่อเร่งการผลิตอาคารและโครงสร้างพื้นฐานในวิธีที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยเน้นที่ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การอนุรักษ์ทรัพยากร และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (ML: Machine Learning) หุ่นยนต์ Robot & Cobot และเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ มาใช้ แต่แนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ การวางแผนการก่อสร้างแบบบูรณาการและการนำเสนอแบบดิจิทัลผ่านกระบวนการเทคโนโลยี BIM

ขอบคุณรูปจาก Freepik.com (AI-gennerated)
ทำความรู้จัก BIM
“BIM” (Building Information Modeling) หรือเทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาสำหรับการออกแบบอาคารด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมกระบวนการต่างๆ ให้สอดคล้องและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ในลักษณะของการบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องลงไปในวัตถุสามมิติ และสร้างความสัมพันธ์ผสานรวมข้อมูลที่ถูกบันทึกลงไปของแต่ละขั้นตอนของโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการดำเนินการ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้นมาใช้สำหรับการวิเคราะห์ผลงานออกแบบ และสร้างแบบจำลองอาคารได้ ในรูปแบบของการกระจายและเชื่อมโยงข้อมูล ทั้งในเรื่องของแนวคิดของการออกแบบ, ข้อมูลด้านพฤติกรรม, เวลาในการทำงาน, การควบคุมคุณภาพของงาน รวมถึงการประสานงานกับส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้เข้าร่วมทั้งหมด ช่วยในการลดข้อผิดพลาดของการทำแบบก่อสร้าง โดยผู้ใช้สามารถกำหนดและใส่ข้อมูลต่างๆ ตลอดจนรายละเอียดลงไปในทุกๆ ส่วนขององค์ประกอบอาคาร เช่น ขนาดความกว้างยาว, วัสดุต่างๆ, รูปแบบในการเขียนแบบ, การประมาณราคา และอื่นๆ ทำให้ทุกส่วนของการออกแบบมีความครบถ้วนทั้งในรูปแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ แพลตฟอร์มข้อมูลที่ใช้ BIM มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพการก่อสร้าง ประหยัดต้นทุนการก่อสร้าง ลดระยะเวลาการก่อสร้าง และการบริหารโครงการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
BIM กับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน
BIM (Building Information Modeling) เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ซับซ้อนซึ่งถูกพัฒนาสำหรับการออกแบบอาคาร โดยสนับสนุนความยั่งยืนในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นในหลายๆ วิธี จัดว่าเป็นเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การลดของเสีย ไปจนถึงการส่งเสริมการนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ BIM มอบกรอบการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ที่ครอบคลุมสำหรับการจัดแนวทางการออกแบบ การแสดงภาพกระบวนการก่อสร้าง การดำเนินงาน และการบำรุงรักษา สามารถคำนวณการใช้พลังงานและผลกระทบของการก่อสร้างต่อสิ่งแวดล้อมได้ ช่วยให้สิ่งปลูกสร้างทั่วไปกลายเป็น การออกแบบอาคารยั่งยืน ถือเป็นเครื่องมือที่มีแนวโน้มดีในการเพิ่มประสิทธิภาพในโครงการก่อสร้าง เพื่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน
เนื่องจากในอนาคตจำนวนอาคาร ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน ตึกสูง ตึกแถว หรือโรงงาน จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบจากอาคารต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ผลักดันกฎกระทรวงการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือ Building Energy Code : BEC ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปโดยเริ่มใช้บังคับกับอาคารขนาด 5,000 ตร.ม. ขึ้นไปก่อน และบังคับใช้กับอาคารขนาด 2,000 ตร.ม. ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป เพื่อเป็นมาตรฐานในการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่หรืออาคารดัดแปลง ที่มีการใช้พลังงานสูง ด้วยการกำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์และวิธีการออกแบบอาคาร เพื่อให้อาคารมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) โดยอาคารที่ออกแบบผ่านตามมาตรฐานกฎหมาย BEC จะเป็นประโยชน์และเป็นกลไกสำคัญในการช่วยประหยัดพลังงานในภาคอาคาร ช่วยลดการใช้ไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานที่ลดลง ในขณะเดียวกันยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการประหยัดพลังงานและและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ประโยชน์ และจุดเด่นของเทคโนโลยี BIM ยังมีอีกมากมาย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ยุคนี้…ทำไมต้อง BIM (Building Information Modeling)

Archicad BIM – เครื่องมือออกแบบเพื่อ Green Building โดยแท้จริง
หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่จะพาแนวคิด Green Building ไปไกลกว่าแค่ “สถาปัตยกรรมที่ดูดี” Archicad โดย Graphisoft คือคำตอบที่ลงตัวที่สุดในเวลานี้ Archicad ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์ม BIM สำหรับการออกแบบ 3 มิติ แต่คือระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “นักออกแบบที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง” ให้กับโลกที่เราอยู่ ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ยึดถือความยั่งยืนเป็นศูนย์กลาง Archicad ช่วยให้นักออกแบบและวิศวกรโครงสร้างออกแบบอาคารเป็นมิตรกับโลกมากขึ้นด้วย:
- จำลองพลังงานและประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ของอาคารได้ตั้งแต่ขั้นตอนแนวคิด (Concept Design) ช่วยให้คุณเห็นภาพล่วงหน้า ก่อนลงมือสร้างจริง
- เลือกใช้วัสดุก่อสร้างอย่างมีข้อมูล ผ่านฐานข้อมูลวัสดุที่มีประกาศ EPD (Environmental Product Declarations) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน EN 15804 – จุดเริ่มต้นของการออกแบบที่คิดครบทุกมิติ
- ตอบโจทย์เกณฑ์อาคารสีเขียว ไม่ว่าจะเป็น TREES, LEED หรือ BEC ได้อย่างเป็นระบบ ด้วยโมเดล 3D BIM ที่เก็บรายละเอียดด้านวัสดุ พลังงาน และระบบภายในไว้อย่างแม่นยำ
- ทำงานร่วมกับทีมได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าคุณจะเป็นวิศวกรโครงสร้าง สถาปนิก หรือทีม MEP ทุกคนสามารถประสานงานผ่าน BIMcloud และ BIMx ได้แบบเรียลไทม์ ลดความซ้ำซ้อน ลดของเสีย และลดคาร์บอนในทุกขั้นตอน ที่สำคัญ Archicad ยังรองรับ Open BIM อย่างแท้จริง สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับซอฟต์แวร์อย่าง Revit, SAF หรือไฟล์ IFC ได้อย่างราบรื่น ไม่มีล็อกอินระบบ ไม่ติดขัดแพลตฟอร์ม
จากแบบจำลองสู่การออกแบบที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลง – จุดแข็งของ Archicad ที่น่าสนใจคือ สามารถสร้างโมเดลข้อมูลอาคารที่ผสานทั้งรูปแบบและประสิทธิภาพ ทำให้นักออกแบบสามารถปรับปรุงโมเดลเพื่อให้ผ่านเกณฑ์การออกแบบอาคารยั่งยืน และวางแผนใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ จนถึงการก่อสร้าง และการดูแลอาคารตลอดอายุการใช้งาน (Lifecycle Thinking) ดังนั้น หากเป้าหมายของโครงการคือ “การสร้างอาคารที่ตอบโจทย์ทั้งโครงสร้างที่แข็งแรง และความยั่งยืนในระยะยาว” Archicad คือเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดตัวหนึ่งในยุคนี้

ขอบคุณรูปภาพจาก Graphicsoft และ Artechnic
บทสรุป
โดยสรุปแล้ว BIM (Building Information Modeling) หรือเทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร คือหนึ่งในแนวทางการออกแบบแห่งโลกอนาคตของอุตสาหกรรม AEC (Architecture, Engineering and Construction) ซึ่งหลายประเทศชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เริ่มปรับตัว และนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาใช้เพื่อช่วยในการออกแบบที่ลดการใช้พลังงาน เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ความั่นใจได้ว่าอาคารต่างๆ จะบรรลุเป้าหมายประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีสีเขียวและความยั่งยืนตามที่ออกแบบไว้ นอกจากนี้ BIM สามารถวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนรูปแบบตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ทั้งในงานสถาปัตยกรรม วิศวกรรมและการก่อสร้างผ่านซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั้งสถาปนิกวิศวกร และงานออกแบบแห่งอนาคตที่ต้องการความแม่นยำด้วยแบบจำลองขั้นสูง ทั้งยังช่วยให้ปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมให้มี Green Features ได้แม่นยำยิ่งขึ้นและคุ้มต้นทุนยิ่งขึ้น รวมถึงปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศตามความจำเป็นอีกด้วย สุดท้ายนี้ ทั้งอุตสาหกรรม AEC, Green Building และเทคโนโลยี BIM เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเดินทางสู่อนาคตอันใกล้ไปพร้อมกัน ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ใครที่ยังไม่เปิดรับ BIM มาใช้งาน นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้งานออกแบบของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับอนาคตด้วยเทคโนโลยีจาก BIM
บมจ.แอพพลิแคด ขอนำเสนอ Archicad สู่การออกแบบ Green Building ที่ยั่งยืนที่สุดที่ช่วยให้สถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างมีความเข้าใจตรงกันโดยใช้โมเดลการวิเคราะห์โครงสร้างที่สร้างโดยอัตโนมัติจากโมเดล BIM การประหยัดที่ยั่งยืนเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของการออกแบบอาคาร สามารถสร้างความแตกต่างในประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารได้ ชุดคุณสมบัติและค่าของวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยอ้างอิงจากข้อมูลคุณสมบัติของวัสดุก่อสร้างที่สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืน EN 15804 ซึ่งตัวบ่งชี้เป็นสิ่งจำเป็นใน EPDs (Environmental Product Declarations) ช่วยให้สถาปนิกผู้ใช้ Archicad สามารถเลือกใช้วัสดุสำหรับโครงการของตนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด พร้อมทั้งวางตำแหน่งสถาปนิกให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับการออกแบบที่เน้นผู้ใช้ทำให้ซอฟต์แวร์นี้เป็นศูนย์กลางสำคัญของแนวทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เรียกใช้การวิเคราะห์พลังงานบนแบบจำลอง BIM ของคุณได้อย่างง่ายดายเพื่อให้ได้การออกแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืนได้อย่างมั่นใจด้วย Archicad ยืนหนึ่งเรื่อง BIM การันตีด้วย Architizer A+Awards Popular Choice Winner 2020 ดาวน์โหลดทดลองใช้ฟรี CLICK