Article - SolidWorks, Articles

9 หลักการในการเลือกระบบ 3D CAD

ในขบวนการอุตสาหกรรมการผลิต มีครึ่งหนึ่งของระบบ CAD ในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปใช้เป็น 3D CAD ส่วนที่เหลือจะเป็นการใช้ 2D CAD ถึงแม้ว่างานบางอย่างจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย 2D CAD ก็ตาม ด้วยตัวเลขเหล่านี้ จึงอยากขอแนะนำให้หลายองค์กรที่ยังไม่ได้ใช้การออกแบบด้วยระบบ 3D CAD หันมาใช้ระบบ 3D CAD กัน

ด้วยการที่ผู้ใช้ระบบ 3D CAD สามารถได้รับประโยชน์จากการนำระบบนี้ไปปฏิบัติงานจริงกับองค์กร และจากประสบการณ์ของวิศวกรที่ใช้งานและทำเกี่ยวกับ 3 มิติเป็นเวลา 10 หรือ 20 ปีที่ผ่านมา ต่อไปนี้คือการรวบรวม 9 หลักเกณฑ์ที่ผู้ใช้ 2D CAD ควรพิจารณาเพื่อเปลี่ยนมาเป็นระบบ 3D CAD


1. ความสามารถในการออกแบบ 3 มิติที่มีประสิทธิภาพ

รูปแบบหลักสำหรับงาน 3D ที่ใช้สำหรับทุกด้านของการผลิตไม่ว่าจะเป็น การออกแบบผลิตภัณฑ์และการตรวจสอบ, การทำ Draft , การออกแบบเครื่องมือ ,การเขียนโปรแกรมควบคุมเครื่องจักรด้วยตัวเลข(CNC)และการตรวจสอบชิ้นงาน ต่างๆ ชิ้นงาน 3 มิติ ต้องมีความถูกต้องเที่ยงตรงและแม่นยำ จึงสามารถนำไปใช้กับชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องจักรหรือใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ของเราได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบควรจะมีขั้นตอนในการสร้างชิ้นงาน 3D นั้นเพียงไม่กี่ขั้นตอนโดยไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์

 

       เมื่อจะประเมินซอฟต์แวร์ ต้องหาความเหมาะสมในแต่ละแพคเกจแต่ละโมดูลของซอฟแวร์ให้ตรงกับประเภทของ ผลิตภัณฑ์ของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทของคุณทำชิ้นงาน sheet metal ให้ความสนใจกับเครื่องมือพิเศษในการสร้างพวกมันโดยอัตโนมัติและการหาแผ่น คลี่ของชิ้นงานที่ออกแบบ หากบริษัทของคุณออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยต้องดูที่เครื่องมือสำหรับการ สร้างพื้นผิวอิสระและการดัดโค้ง หรือเชื่อมต่อผิวของพวกมันได้อย่างราบเรียบไม่มีสะดุดของพื้นผิวนั้นๆ ส่วนการออกแบบเครื่องจักรนั้น ต้องมีความสามารถในการประกอบชิ้นงานต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว สะดวกและถูกต้องแม่นยำ มีการตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องจักรที่เราออกแบบอยู่ได้ เช่น การตรวจสอบการติดชนกันระหว่างชิ้นงานต่างๆ ภายในเครื่องจักร การวิเคราะห์ความแข็งแรงของชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องจักร และสามารถออกรายการวัสดุ (BOM) ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งต้องมีอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ให้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว เช่น น๊อต,สกรู,เฟือง,แหวนรองต่างๆ

       เพราะการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นเราต้องมีซอฟแวร์ที่สามารถแก้ไขชิ้นงานหรือแก้ไขงานประกอบต่างๆ ของเราได้อย่างรวดเร็วและไม่มีความยุ่งยาก เพื่อลดเวลาที่ต้องเสียไปกับการแก้ไขชิ้นงาน และให้เราแก้ไขชิ้นงานบางส่วนในเครื่องจักร แล้วชิ้นงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามกันไป โดยต้องทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องแม่นยำโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิด ชิ้นงานอื่นๆ ขึ้นมาแก้ไข


2. ความเข้ากันได้ระหว่าง ลูกค้าและซัพพลายเออร์

ในการแลกเปลี่ยนไฟล์ CAD 3D ระหว่างลูกค้าและซัพพลายเออร์ หากเป็นไปได้ควรเลือกระบบ CAD ที่เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรม ตัวเลือกนี้จะขจัดความจำเป็นในการแปลงไฟล์จากระบบหนึ่งไปยังระบบหนึ่ง นั่นหมายถึงการต้องใช้เวลาแก้ไขข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนนั้นๆ

นอกจากนี้ยังมองไปที่ความสามารถในการรับไฟล์จากซอฟแวร์อื่นๆเพื่อมาใช้งาน ต่อในระบบของเรา เพื่อลดความยุ่งยากและวุ่นวายในการซ่อมแซมผิวหรือชิ้นงานที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากการนำเข้าข้ามระบบ(จากซอฟแวร์หนึ่งไปอีกซอฟแวร์หนึ่ง)

CAD ของคุณต้องรองรับไฟล์มาตรฐานสากลดังกล่าวดังต่อไปนี้เช่น X_t ,STP, IGES, VDA ,IDF และต้องมีเครื่องมือสำหรับการซ่อมแซมความเสียหายของรูปร่างของไฟล์ที่นำเข้า มาด้วยวิธีการที่ง่ายสะดวกรวดเร็วเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานกับไฟล์ เหล่านั้น

การแลกเปลี่ยนไฟล์ CAD กับลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถประหยัดเวลาลงได้อย่าง มาก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายของพนักงาน ที่ต้องแก้ไขชิ้นงานนั้นๆเพื่อให้ตรงกับแบบที่ลูกค้าของเราต้องการ ในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในระบบ 3Dนั้นจะทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรและผลิตภัณฑ์ของเราได้เป็น อย่างดี

3. เครื่องมือการเขียนแบบที่ได้มาตรฐานของคุณ

        ในการออกแบบ 3D, คุณจะต้องเขียนแบบ 2D ด้วยซึ่งการเขียนแบบ 2D ที่ชัดเจนแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดต่างๆซึ่งข้อมูลเหล่านี้ที่ไม่สามารถแสดง ให้เห็นได้ชัดเจนในรูปแบบ 3D เช่น ขนาด, รายละเอียดวัสดุและขบวนการชุบผิว(heat treatment) ให้แน่ใจว่าระบบ 3D CAD ที่คุณจะซื้อ สามารถทำให้แบบตรงกับมาตรฐานในปัจจุบันของคุณ สำหรับพิกัดความเผื่อ(tolerances) และรายการชิ้นส่วนต่างๆ(BOM) และให้แน่ใจว่าแบบของคุณสามารถส่งออกไปเป็นไฟล์ชนิดต่างๆได้เช่น PDF, DXF และ DWG โดยไม่ต้องใช้ซอฟแวร์อื่นๆเพิ่มอีก

4. ความน่าเชื่อถือและความเสถียร
ระบบการออกแบบ 3D มีความซับซ้อนมากกว่า 2D แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งที่จะมาวัดมาตรฐานของความน่าเชื่อถือในการใช้ CAD ได้เช่น ในส่วนของงานระบบและงานเขียนเครื่องจักรกลต่างๆ แต่อาจจะมีฟอรั่มของลูกค้าสำหรับการรายงานเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่พบได้ บ่อยหรือซอฟต์แวร์มีข้อบกพร่อง ควรถามบริษัทที่เป็นเจ้าของ 3D CAD ในอุตสาหกรรมเดียวกับคุณถึงสิ่งที่พวกเขามักจะพบข้อผิดพลาดกับระบบ 3D CAD และสอบถามโดยตรงกับผู้จำหน่าย 3D CAD เกี่ยวกับข้อจำกัดของระบบ 3D CAD ที่เราจะนำมาใช้ในอนาคต

หากบริษัทของคุณจะทำการประกอบชิ้นงานขนาดใหญ่ ให้แน่ใจว่าระบบ CAD ที่คุณจะซื้อมีความสามารถในการจัดการพวกมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางระบบมีความไม่คล่องตัวในการรวบรวมข้อมูลเมื่อมีการออกแบบที่ซับซ้อนด้วย

5. ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดี
เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งที่สร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างผู้ซื้อซอฟต์แวร์ และผู้ขาย ไม่ใช่ด้านเทคนิคแต่กลับเป็นด้านความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ เช่นเดียวกับบางสายการบินที่มีการเรียกเก็บค่าใช่จ่ายลูกค้าเพิ่มเติมในการ ตรวจสอบสัมภาระ, การเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน ,เครื่องดื่มและผ้าห่ม, บางอย่างที่จัดเก็บกับซัพพลายเออร์ CAD ที่ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายสำหรับซอฟต์แวร์และบริการที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการ

เพื่อหลีกเลี่ยงในสิ่งที่จะทำให้เกิดความรุนแรงนี้ขึ้นและลดค่าใช้จ่ายของ คุณให้ มองหาผู้ขายที่นำเสนอแพคเกจซอฟต์แวร์ที่ตรงไปตรงมาว่ามีทุกอย่างที่คุณต้อง การ
6. ตัวช่วยต่างๆด้านการใช้งานซอฟแวร์ที่จะมาช่วยในธุรกิจของคุณ
3D CAD นั้นจะมีความสามารถมากขึ้นด้วย Add-Ins ต่างๆเพื่อช่วยในการออกแบบระบบอัตโนมัติและการวิเคราะห์ ถ้าคุณต้องการที่จะจำลองพฤติกรรมทางกายภาพเช่นกลศาสตร์ พลศาสตร์ ความเครียด การโก่ง การสั่นสะเทือน อุณหภูมิหรือการไหลของของไหล ให้พิจารณาระบบที่มีเครื่องมือที่จะช่วยในการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อความแม่นยำและแน่นอนในการออกแบบชิ้นงาน

       สำหรับองค์กรที่มีนักออกแบบหลายๆท่านที่ต้องมีการใช้ไฟล์งานร่วมกัน ต้องการผลิตภัณฑ์การจัดการข้อมูลซอฟแวร์ (PDM) รวมกับเครื่องมือ CAD ของพวกเขา ไฟล์จากระบบ 2D CAD สามารถจัดอยู่ในไดเรกทอรีแฟ้ม แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างไฟล์ในระบบ 3Dมีความซับซ้อน เพื่อให้มีระบบอัตโนมัติในการจัดเก็บและจัดระเบียบพวกเขาเป็นสิ่งที่จำเป็น ด้วย PDM, นักออกแบบสามารถเขียนทับการทำงานของกันและกันและสามารถเรียกดูไฟล์งานใน เวอร์ชั่นก่อนหน้าได้ทุกขั้นตอน

7. ระยะเวลการเรียนรู้การใช้ซอฟแวร์
การนำ 3D เข้ามาใช้ต้องการการฝึกอบรมและประสบการณ์ในการใช้ เพื่อเลือกระบบที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ควรมองหาระบบที่มีผู้ใช้ซอฟแวร์นั้นๆที่มีทั่วไปในวงการการทำงานหรือการออก แบบและมองหาได้ง่ายในการประกาศสมัครงาน
การพัฒนาบุคลากรของคุณเองนั้นก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน จึงควรเลือกระบบที่มี tutorials หรือคู่มือการใช้งานที่จะช่วยการฝึกอบรม มีสังคมออนไลน์ ที่ช่วยให้คนถามได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้คุณยังจะต้องการซอฟแวร์ที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนและ มหาวิทยาลัยต่างเพื่อให้คุณสามารถที่จะจ้างนักเรียนนักศึกษาที่มีความพร้อม ที่จะเริ่มปฏิบัติงานได้ทันที
8. การพัฒนาคิดค้นนวัตกรรม R & D เพื่อคุ้มครองการลงทุนของคุณ
เทคโนโลยีของระบบ3D มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หากระบบ 3D ของคุณไม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คุณจะพบว่าองค์กรของคุณมีระบบที่ล้าสมัยและคุณยังคงมีค่าใช้จ่ายในการบำรุง รักษา CAD ที่ซื้อจากผู้ขายที่ไม่มีการพัฒนาและสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เกิดความไม่คุ้ม ค่าทางด้านการลงทุน เพราะทางผู้ผลิตซอฟแวร์ไม่มีการพัฒนาให้ทันสมัยกับเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีของเครื่องจักรที่ต้องใช้งานร่วมกับ 3D CAD ที่คุณซื้อมา
9. ตัวแทนจำหน่ายที่สามารถช่วยคุณได้
การซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่มีทักษะและประสบการณ์ที่จะช่วยให้คุณมีการ เปลี่ยนแปลงและประสบความสำเร็จในการออกแบบ 3D หาตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพที่ได้รับการฝึกอบรมและได้รับการสนับสนุนจากผู้ พัฒนาซอฟแวร์โดยตรง
หมายเหตุ : เกณฑ์ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นไม่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกองค์กร การเลือกซื้อที่ชาญฉลาดต้องใช้ความคิดอย่างรอบคอบและประสบการณ์ทางด้าน วิศวกรรมของบริษัทของคุณประกอบการตัดสินใจ


Photo of author
WRITTEN BY

admin