การเลือกซื้อ 3D Printer ที่เหมาะกับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก

ชิ้นงานพัง ความแม่นยำไม่พอ เครื่องไม่ได้มาตรฐาน ลงทุนทั้งทีต้องให้ได้งาน มาดูกันว่าจะ เลือกซื้อเครื่อง 3D Printer ที่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ให้ไม่ผิดหวังซ้ำซ้อน

แน่นอนว่าสำหรับเทคโนโลยี 3D Printing (Additive Manufacturing) เป็นขบวนการการผลิตแบบเพิ่มเนื้อจนกลายเป็นวัตถุที่เราต้องการด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อใช้ตามแต่ละวัตถุประสงค์ ซึ่งเครื่อง 3D Printer หรือ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ มีให้เลือกเยอะมากในปัจจุบัน ตั้งแต่เครื่องหลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน แถมยังมีมากมายหลายแบรนด์ หลายเทคโนโลยี เรียกได้ว่าศึกษากันจนตาลายแน่ๆ เรามาดูเหตุผลหลักๆ ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่อง 3D Printer ที่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก

ส่วนใหญ่ผู้ใช้งานมักจะเจอปัญหาเหล่านี้ ในการใช้งานเครื่อง 3D Printer ที่คุณสมบัติและมาตรฐานไม่ได้รองรับ และอาจไม่เหมาะกับงานระดับอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง

ใช้เครื่องเล็กราคาย่อมเยาแต่ปริ้นต์งานใช้จริงไม่ได้ซักที
ชิ้นงานเสียบ่อย ต้องปริ้นต์ซ้ำหลายครั้ง
งานมีความละเอียดไม่พอ ทำให้ประกอบชิ้นงานไม่ได้ตามจริง
ชิ้นงานเสร็จไม่ตรงตามเวลาที่คาดหมาย
ไม่สามารถปริ้นต์งานที่มีความซับซ้อนได้
Support และชิ้นงานเป็นเนื้อเดียวกัน แกะ หรือล้าง ชิ้นงานชำรุดได้ง่าย

รู้ก่อนเลือกซื้อ 3D Printer ที่เหมาะกับงานอุตสาหกรรม

1. ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Easy to use / Office Friendly)

ควรเลือกเครื่อง 3D Printer ที่มีการใช้งานไม่ซับซ้อน เรียนรู้ได้ง่าย แม้ไม่มีพื้นฐานการใช้งานก็สามารถเรียนรู้ได้ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยน User ที่ไม่มีประสบการณ์ใช้งานเครื่อง ก็ไม่เป็นปัญหาในการเรียนรู้ใหม่ เครื่องมีมาตรฐานไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ที่สำคัญหากได้เครื่องที่มีขนาดเหมาะสม ใช้พื้นที่น้อยก็สามารถวางที่ไหนก็ได้

โดยดูจาก Interface การสั่งงานหน้าเครื่องต้องมีความง่ายใช้งานไม่ซับซ้อน การรองรับไฟล์ 3D ที่หลากหลายไม่ต้องแปลงไฟล์ อีกทั้งควรมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ร่วมกับ 3D Printer ที่มีความง่ายในการใช้ และช่วยให้เราวางรูปแบบชิ้นงานก่อนพิมพ์ได้สะดวก ส่วนของ Support ซึ่งเป็นส่วนที่มีไว้รองชิ้นงานควรเป็นส่วนที่แกะออกจากชิ้นงานของเราได้ง่ายเพื่อความรวดเร็ว และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในการแกะชิ้นงาน ซึ่งหลายแบรนด์ก็จะมีเทคโนโลยีที่ Support สามารถละลายน้ำได้ เราจึงไม่ต้องมาคอยนั่งแกะอีกต่อไป

สรุปที่ต้องดู คือ

ซอฟต์แวร์ในการสั่งงานเครื่องปริ้นต์
ฟีเจอร์การใช้งานในตัวเครื่อง
Interface หน้าเครื่อง
ไม่ต้องแปลงไฟล์
Support แกะง่าย

2. เครื่องมีคุณภาพในการปริ้นต์งาน (Accuracy)

งานระดับอุตสาหกรรมแน่นอนว่าความแม่นยำ และคุณภาพของชิ้นงาน ย่อมส่งผลต่อต้นทุนและเวลา เราจึงต้องมั่นใจว่าเครื่องที่เลือกนั้นมีคุณภาพ และได้มาตรฐานเพียงพอ ขนาดและชิ้นงานได้รูปตรงตามที่ต้องการ ไม่บิดเบี้ยว ขนาดผิดจากแบบ หรือพังขณะปริ้นต์

คุณภาพที่เรามักจะดูคือเรื่องของ ความละเอียดของการปริ้นต์ ยิ่งละเอียดมากงานก็จะยิ่งเนียนสวยงาม ใกล้เคียงกับความเป็นจริง รวมถึงสำหรับงานที่ต้องมีการประกอบ ถ้าความละเอียดไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำมาประกอบกันได้จริง สำหรับงานในระดับอุตสาหกรรมความละเอียดจะอยู่ประมาณ 100 ไมครอน (หรือขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน) อีกส่วนหนึ่งที่มักพบคืองานมีความบิดเบี้ยว ผิดไปจากที่ออกแบบไว้ ซึ่งเกิดจากการควบคุมอุณหภูมิไม่เหมาะสม ทำให้การแข็งตัวของ Material ผิดเพี้ยนไป เครื่อง 3D Printer ที่ดีจึงควรมีระบบการควบคุมความร้อนภายใน เพื่อให้งานออกมาไม่มีความผิดเพี้ยน

3. ปริ้นต์ได้ไว (Fast Draft Mode)

ความเร็วในการปริ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการพิจารณา เพราะจะมีผลมากในการทำงาน ยิ่งเป็นเครื่อง 3D Printer ที่รองรับงานอุตสาหกรรม ความไวถือว่าเป็นปัจจัยที่ค่อนข้างได้เปรียบในการทำธุรกิจ ยิ่งสามารถพัฒนาและต่อยอดงานได้ไว ก็มีโอกาสนำคู่แข่งได้ ซึ่งเครื่องพิมพ์ 3 มิติ สำหรับงานอุตสาหกรรมจะสามารถปริ้นต์งานได้ไวขึ้นกว่าเครื่อง Desktop ทั่วไป

4. Material คุณภาพอุตสาหกรรม (Engineering Grade)

ในวงการอุตสาหกรรมมีการใช้วัสดุที่หลากหลาย หากเครื่อง 3D Printer สามารถรองรับ Material ได้หลายวัสดุ พร้อมทั้งมีคุณภาพระดับงานอุตสาหกรรม ก็ช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มขีดความสามารถในการปริ้นต์ชิ้นงานให้กับผู้ประกอบได้ Material ที่นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรม เช่น PLA, ABS, ABS-ESD, TPU, PC, NYLON 6,12 , NYLON CABON FIBER อื่นๆ

ซึ่งการเลือกวัสดุจะขี้นอยู่กับประเภทงานของแต่ละอุตสาหกรรม โดยวัสดุที่มักจะถูกนำมาใช้งานบ่อยๆ ในการทำงานต้นแบบ หรือการสร้าง Part ต่างๆ อย่างพลาสติก ABS หรือวัสดุประเภทยาง TPU หรือที่ต้องการความแข็งแรงอย่างวัสดุ Carbon Fiber ซึ่งเราต้องพิจารณาว่าเครื่อง 3D Printer นั้นรองรับวัสดุอะไรได้บ้าง และงานที่เราทำต้องใช้วัสดุประเภทไหน รายละเอียดวัสดุต่างๆ สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก : https://bit.ly/3rIncY0

5. ความปลอดภัย (Security)

ในเรื่องของความปลอดภัยถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเลือกเครื่อง 3D Printer ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการทำงานระดับอุตสาหกรรม ที่สำคัญยิ่งตัวเครื่องมีระบบรักษาความปลอดภัย หรือเซนเซอร์ที่สามารถแจ้งเตือน และตัดระบบได้ หากเครื่องมีปัญหา เช่น เครื่องร้อนเกินไป

ความปลอดภัยน่าจะเป็นเรื่องของการเป็นระบบปิด มี sensor เช็คการทำงานของระบบต่างๆ ของเครื่อง เรื่องของเสียงที่ไม่รบกวนการทำงาน และเรื่องของสารเคมีที่เป็นพิษต่อสุขภาพ สามารถตั้งได้ทั้งในโรงงาน และสำนักงาน

ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมคลิก

หากคุณตัดสินใจเลือกซื้อเครื่อง 3D Printer ที่สามารถปริ้นต์งานระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็กได้มาตรฐาน เครื่องอึด ทึก ทน ใช้งานง่าย คุ้มค่าแก่การลงทุน เครื่อง MakerBot 3D Printer ช่วยตอบโจทย์คุณได้

3D Printer แบรนด์ Makerbot รุ่น Method X เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ถูกออกแบบมาเพื่องาน ปริ้นต์งานที่มีซับซ้อน รองรับงานระดับอุตสาหกรรมได้ อีกทั้งยังมีวัสดุให้เลือกใช้หลายชนิด ปริ้นต์ได้เร็วกว่าเครื่องพิมพ์ Desktop ถึง 2 เท่า

จุดเด่น Makerbot รุ่น Method X

ระบบ Heating Chamber

ช่วยให้ควบคุมความร้อนได้สม่ำเสมอ และควบคุมสภาพแวดล้อมการปริ้นต์ได้ จึงทำให้ชิ้นงานที่ปริ้นต์มีความแข็งแรง และแม่นยำยิ่งขึ้น หมดปัญหาชิ้นงานพัง เสียรูป ขนาดไม่แม่นยำ

Open Platform หัว Laps ใช้ Material ได้ไม่จำกัด

สามารถรองรับ Material แบรนด์อื่นๆ ได้ ไม่จำกัดเฉพาะของ MakerBot เพิ่มความยืนหยุ่นในการทำงานของคุณ

Material ให้เลือกมากกว่า 25 ชนิด

ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน มี Material ให้เลือกมากกว่า 25 ชนิดไม่ว่าจะเป็น พลาสติก (Polymer), วัสดุผสม (Composite) และ โลหะ (Metal) โดยไม่จำกัดแค่วัสดุจาก MakerBot เปลี่ยนวัสดุได้อย่างรวดเร็ว หมดปัญหาเรื่องการปนเปื้อนวัสดุชนิดอื่น รองรับระบบ SmartAssist™ Material Loading ช่วยให้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการปริ้นต์ได้ง่ายขึ้น (แนะนำวัสดุ Filament สำหรับ 3D Printer ดาวน์โหลด E-Book)

คุณภาพชิ้นงานรองรับงานระดับอุตสาหกรรม

ชิ้นงานรองรับคุณภาพงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้พื้นที่น้อย ปลอดภัยสามารถวางไว้ร่วมกับผู้ใช้งานได้ และด้วยโครงสร้างเครื่องที่แข็งแรง เครื่องไม่สั่นขณะปริ้นต์ช่วยให้ชิ้นงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเครื่อง MakerBot รุ่น Method X สามารถปริ้นต์ชิ้นงานได้ไวกว่าเครื่อง Desktop ทั่วไปถึง 2 เท่า

ใช้งานง่าย สะดวก ยืดหยุ่น

พบกับจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 5 นิ้ว สามารถใช้งานง่าย ติดตั้งสะดวก ควบคุมงานปริ้นต์ได้แบบ Realtime เพิ่มศักยภาพงานพิมพ์ 3 มิติ ด้วย MakerBot CloudPrint™ สามารถดูการทำงานของเครื่องได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีระบบ Auto-Calibration เครื่องจะคาลิเบรทให้อัตโนมัติ ทำให้ชิ้นงานปริ้นต์ มีคุณภาพ และแม่นยำยิ่งขึ้น

ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมคลิก

เคสผู้ใช้จริงบริษัท เอ.ไอ. เทคโนโลยี จำกัด

ทำ Concept วาง Process ให้กับลูกค้า

เมื่อออกแบบ Concept เสร็จแล้ว สามารถนำ Model สั่งปริ้นต์เพื่อมาทดสอบกับชิ้นงานจริงได้ด้วยเครื่อง MakerBot 3D Printer ช่วยลดขั้นตอนการนำไปขึ้นงาน Part สามารถปรับและเปลี่ยนแปลง Model โดยใช้เวลาลดลงจากเดิมมาก

ใช้ 3D Printer ทดแทนชิ้นงานจริง

หลังปริ้นต์ด้วย 3D Printer แล้ว ชิ้นงานออกมามีคุณภาพดี สวยงามสามารถใช้งานได้จริง จึงนำชิ้นงานต้นแบบ (Prototype) มาประกอบจริง ช่วยให้ไม่ต้องขึ้น Part จริง ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุน

ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมคลิก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : MakerBot 3D Printer